ถึงแม้ Republic of Ireland จะเป็นประเทศที่มีที่น่าเที่ยวเยอะมาก ทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ เวลล์เนสส์ และฉันก็หมายใจอยากจะไปชมให้ครบทุกสิ่ง แต่ทริปแรกกับประเทศที่พลเมืองน้อยเพียงแค่ห้าล้านคนแต่มากมายไปด้วยสิ่งน่าสนใจนี้ ฉันมีเวลาเพียงแค่สามวันสามคืน จึงจัดเน้นเฉพาะสิ่งที่สนใจเป็นอันดับแรกก่อน นั่นคือ การเที่ยวชมทิวทัศน์ภูมิประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉันมีจุดหมายในใจอย่างหนึ่งมานาน คือการขับรถชมวิวไปตามถนนชนบทเส้นเล็กๆทางชายฝั่งตะวันตกของประเทศ ซึ่งจะมีเพนนินซูล่าหรือแหลมของแผ่นดินที่ยื่นออกไปในมหาสมุทรอยู่หลายแห่ง วันแรกที่มาถึงฉันจึงยิงยาว ขับรถจาก Dublin เมืองหลวงไป 5 ชั่วโมง เพื่อตั้งหลักเริ่มเที่ยวกันจากเมืองเล็กๆชื่อ Killarney ก่อนเลย
กว่าจะมาถึงเมืองนี้ก็สองทุ่มแล้ว เพราะตลอดทางถนนเป็นทางหลวงแต่ไม่ใช่ไฮเวย์จึงขับได้ไม่เร็ว ถึงแล้วเช็คอินก่อน โรงแรมน่ารักมาก พนักงานก็น่ารักสุดๆทุกคน เราอยากไปกินข้าวในเมืองก็โทรไปจองให้ ดื่มในบาร์ที่โรงแรมพักเหนื่อยนิดหน่อย แล้วจึงขับรถ 5 นาทีก็ถึงตัวเมืองจิ๋ว กินอาหารทะเล เพราะมาถึงไอร์แลนด์ก็ต้องกินอาหารทะเล ล็อบสเตอร์และปูอร่อยมาก กินเสร็จเดินเล่นชมเมืองนิดหน่อย วันนี้เป็นคืนวันศุกร์ เรากินข้าวเสร็จเกือบเที่ยงคืน แต่คนก็ยังเข้าคิวเพื่อรอเข้าบาร์กันเต็ม เสียงดนตรีครึกครื้นน่าสนุกมากๆ สมกับที่เคยได้ยินมาว่าคนไอริชดื่มกันทั้งคืนกว่าจะกลับบ้านก็รุ่งสาง แต่เราไม่ไหวแล้ว กลับไปดื่มที่โรงแรมแก้วหนึ่งเบาๆก่อนนอนแล้วขอสลบก่อน
วันรุ่งขึ้นเราเริ่มโร้ดทริปขับชมถนนสายชนบทริมทะเลที่ฉันใฝ่ฝัน โดยจาก Killarney เริ่มขับผ่านทะลุเข้าไปใน Killarney National Park ถนนบนเส้นทางนี้หลายช่วงเสมือนเเล่นผ่านอุโมงค์ต้นไม้สีเขียวเข้าไป เพราะสองข้างทางมีต้นไม้เขียวชอุ่มที่แผ่ใบหนามาชนกันตรงกลางถนน กลายเป็นซุ้มใบไม้ ยิ่งตอนนี้เริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว สีเขียวเริ่มมีสีส้มทองแซม สวยมากๆ
ถนนส่วนมากที่เราใช้เป็นถนนเลนเดียว เลนเดียวนี่ไม่ใช่ฝั่งละเลนนะ แต่คือทั้งถนนมีแค่เลนเดียวเลย ถ้ามีรถสวนมาก็ต้องคอยจอดหลบให้ทางกัน แถมบางเส้นยังเป็นถนนที่เหมือนไม่ค่อยมีรถผ่านเพราะหญ้าขึ้นตรงกลางถนนสูงเชียว แถมยังมีน้องแกะเล็มหญ้าอยู่เต็มตลอดสองข้างทาง บางทีก็ลงมาเดินเล่นบนถนนไม่รู้ไม่ชี้ รถต้องจอดรอให้น้องไปก่อน เส้นทางจุดที่ฉันว่าสวยที่สุดนั้นเป็นถนนเลนเดียวโค้งลดเลี้ยวไปตามเขา สองข้างทางเป็นเขาที่ปูด้วยหญ้าและพุ่มไม้ มีบรรดาแกะเล็มหญ้าอยู่ น่ารักมหัศจรรย์มากๆ เส้นนี้ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร แต่จะผ่านจุดที่เรียกว่า Ballaghbeama Gap ถ้าตั้งกูเกิ้ลให้ไปจุดนี้ก็จะต้องใช้ถนนเส้นนี้แหละ บอกเลยว่าเด็ดมากๆ
จากนั้นเราขับผ่านเมือง Cahersiveen มีความเล็กน่ารักแบบชนบท ไปจนถึงเมือง Portmagee ที่เป็นเมืองท่าและจุดพักสำหรับคนที่จะมาชม Skellig Michael อันเป็นเกาะซึ่งสมัยโบราณเคยมีพระอาศัยอยู่บนนั้น ตอนนี้ไม่มีใครสามารถขึ้นไปบนเกาะได้แต่ช่วงหน้าร้อนจะมีทัวร์นั่งเรือแล่นออกไปชมใกล้ๆเกาะ วันนี้ที่เราไปลมแรงมากๆ และไม่มีทัวร์ออกไปแล้ว เราจึงขับรถไปตามเส้น Skellig Ring เป็นถนนเลนเดียวเลียบชายฝั่ง
ตลอดทางจะมีจุดชมวิวให้ชม Skellig Michael หลายแห่ง รูปทรงของเกาะนี้สวยแปลกเป็นทรงแหลมเหมือนเจดีย์ ในวันที่ฝนตกและอากาศอึมครึมแบบไอริชนี้ แลดูเหมือนเป็นเงาสีเทาลอยอยู่กลางทะเล มีมนต์ขลังบอกไม่ถูกเลย เห็นทิวทัศน์อันอัศจรรย์แบบนี้แล้วเข้าใจเลยว่าทำไมไอร์แลนด์จึงเป็นแรงบันดาลใจของนิยายและภาพยนต์มหากาพย์หลายเรื่อง ไม่นับศิลปินดนตรีที่ชื่อก้องโลกอีกมากมายก็เป็นคนไอริช
เส้นทางที่เราเเล่นวันนี้ทั้งหมดเป็นวงกลมเรียกว่า Ring of Kerry สวยสมใจอย่างที่อยากมามากๆจริงๆ ตลอดทางที่ขับรถมีแดดออกบ้างสลับกับฝนตกบ้าง ดูขรึมดูขลัง ในหัวมีแต่เสียงเพลงของ Clannad และ Enya ดังก้องกังวานตลอด ถึงแม้เราจะใช้เวลาขับรถมากกว่าที่คิด ต้องตัดหลายเส้นทางที่วางเอาไว้ออก แต่ก็เรียกได้ว่าสมใจมากๆ บอกเลยว่าไอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีภูมิทัศน์ยิ่งใหญ่และแปลกตาไม่เหมือนใคร มีความลึกลับ โบราณ นิ่งสงบ และเต็มไปด้วยธรรมชาติ ฉันว่าการขับรถชมธรรมชาติทางตะวันตกนี่แหละคือหัวใจของการมาเที่ยวไอร์แลนด์อย่างแท้จริง
ชมวิวจนหนำใจแล้วขอไปชมเมืองบ้าง Cork คือเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไอร์แลนด์ แต่อันที่จริงฉันว่ากลับมีที่เที่ยวไม่เยอะ และอลังการสู้ธรรมชาติไม่ได้ ที่แรกที่แวะชมคือมหาวิหาร Saint Fin Barre’s Cathedral นับว่าเก่าแก่และมีความสำคัญมาก เราแวะไปตอนพิธีมิซซาวันอาทิตย์พอดี จึงเข้าร่วมพิธีอย่างสงบเสงี่ยม ไม่รบกวนถ่ายรูปเขา เสร็จแล้วไปโบสถ์ St Anne หรือ The church tower of Shandon ซึ่งจะว่าไปแล้วนับเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเลยก็ว่าได้ เพราะมีหอระฆังสำคัญ เราไต่บันไดร้อยสามสิบกว่าขั้นขึ้นไปชมวิวเมืองข้างบน บนหอคอยมีกลไกระฆังและนาฬิกาให้ดู แปลกดีเพราะเราสามารถดึงสายระฆังแต่ละเส้นเล่นเป็นเพลงตามโน้ตที่เขาแปะไว้ให้ สุดยอดวิศวกรรมโบราณ
อีกสถานที่สำคัญคือ Elizabeth Fort แต่ปิดซ่อมบำรุงพอดีเลยอดชม ไม่เป็นไรเพราะฝนตกคงเดินไม่สนุกนัก ส่วนถนนคนเดินกลางเมือง St. Patrick’s Street ก็ดูเหงาๆกลางฝนวันอาทิตย์ เราเลยแค่ผ่านๆไม่ได้ใช้เวลามาก แต่ก็ถือว่าได้มาเยือนอีกเมืองที่เคยได้ยินชื่อมานาน
ถัดมาคือ Kinsale เป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กจิ๋วทางใต้ของประเทศไอร์แลนด์ มีพลเมืองเพียงแค่ 5000 กว่าคนเท่านั้น แต่ด้วยความที่สีสันสดใสน่ารักจนได้ชื่อว่าน่าจะเป็นเมืองที่น่ารักที่สุดของไอร์แลนด์เลยก็ว่าได้ ทำให้หมู่บ้านนี้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญทั้งของคนไอริชเองและชาวต่างชาติ ยิ่งช่วงหน้าร้อนคนจะมาพักร้อนกันเยอะเลย
ตัวเมืองเก่าเองนั้นมีขนาดกระทัดรัด เดินวกวนชมบ้านเรือนร้านรวงสีสันสดใสไปมาไม่เกิน 1 ชั่วโมงก็ทั่ว ติดกับเมืองเก่าเป็นอ่าวและท่าจอดเรือ มีเรือจอดอยู่มากมาย เป็นบรรยากาศหมู่บ้านเล็กชาวประมงที่ชิลล์มาก เหมาะกับการมาพักผ่อนเป็นที่สุด แต่เห็นเมืองเล็กอย่างนี้อย่าได้คิดว่าไร้สีสันหรือเงียบเหงา เมืองไหนๆในไอร์แลนด์ก็เต็มไปด้วยผับบาร์ ตกกลางคืนมีบาร์ให้เข้าไปเลือกดื่มวิสกี้และเบียร์จนตาลายเลือกไม่ถูกทีเดียว คนที่นี่ปาร์ตี้กันจัดมากสมคำร่ำลือ มาถึงแค่แป๊บเดียวเราก็เห็นกลุ่มคนที่เพิ่งจะปาร์ตี้เสร็จมาจากไหนไม่รู้เดินเมาหัวเราะร้องเพลงกันดังลั่นถนนไปหมด และดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่นี่
สำหรับฉันจุดขายหลักของเมืองนี้อีกอย่างหนึ่งคืออาหาร อันที่จริงเมืองทั้งหลายทางใต้ที่อยู่ริมทะเลของไอร์แลนด์นี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเลกันทั้งนั้น ที่คินเซลถึงแม้ขนาดเมืองจะจิ๋วแต่ก็มีร้านอาหารที่ได้ดาวมิชลินอยู่ด้วยหนึ่งร้าน แต่ฉันขอเลือกกินอาหารทะเลปรุงแบบท้องถิ่นดีกว่า สารพัดปลาและกุ้งมังกรที่จับได้จากชายฝั่งของที่นี่เลยสดๆอร่อยมาก กินอิ่มแล้วก็เข้าผับดื่มก่อนนอนและฟังเพลงปะปนไปกับคนท้องถิ่นเสียหน่อย เป็นเมืองเล็กน่ารักอีกเมืองหนึ่งที่ประทับใจมาก
จากเมือง Cork เราจะกลับไป Dublin ระหว่างทางฉันขอย้วยออกนอกไฮเวย์ไปชมเส้นทางหนึ่งที่มีวิวอย่างที่อยากเห็นมานาน จึงตั้งใจมาดูโดยเฉพาะ นั่นก็คือเส้นทาง Vee Pass ในเคาน์ตี้ Tipperary เป็นเส้นทางตัดข้ามไปบนภูเขา มีความสูง 2000 เมตร ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในวิวที่สวยที่สุดของไอร์แลนด์ทีเดียว นอกจากจะมีวิวทุ่งหญ้าบนภูเขา แม่น้ำและทะเลสาบ มีน้องแกะยืนเล็มหญ้าเต็มทุ่ง จุดที่ฉันจะต้องไปเห็นให้ได้คือเป็นถนนช่วงที่มีต้นไม้เป็นอุโมงค์สีเขียว ความยาวเพียงแค่ไม่กี่ 100 เมตร เคยเห็นรูปแล้วมันติดตาตรึงใจจนจะต้องไปดูให้จนได้
จากไฮเวย์เราต้องแล่นไปตามถนนเส้นเล็กเลาะผ่านหมู่บ้าน เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาหลายตลบแล้วขึ้นเขาไป พอขึ้นไปสูงมีแกะเล็มหญ้าที่เริ่มแห้งเป็นสีทองเต็มไปหมด ดูไม่เห็นวี่แววจะเห็นอุโมงค์ต้นไม้เลย แต่พอขับไปเรื่อยๆทันใดนั้นอยู่ดีๆรู้ตัวอีกทีถนนเส้นเล็กของเราก็มีต้นไม้ล้อมอยู่รอบ กลายเป็นอุโมงค์เสียแล้ว ฉันรีบตะโกนให้สามีหยุดรถมันกลางถนนนั่นเลยแล้ววิ่งลงไปถ่ายรูป โชคดีไม่มีรถผ่านมาและผ่านไปเลยสักคันเดียว ได้ใช้เวลาถ่ายรูปจนสะใจ พอมองย้อนไปข้างหลัง อุ๊ยตายมีน้องแกะอยู่หนึ่งตัวมายืนกลางถนนมองเราด้วยความสงสัย จึงกลายเป็นนายแบบอยู่ในภาพอย่างพอเหมาะพอเจาะทีเดียว
จากจุดนั้นเราแล่นสูงขึ้นไปอีกแล้ววนเป็นวงกลมกลับลงมา นี่ขนาดขับรถผ่านในฤดูใบไม้ร่วงยังสวยขนาดนี้ ถ้ามีโอกาสได้มาขี่จักรยานหรือเดินเขาในหน้าร้อน ใช้เวลาช้าๆอยู่ในจุดนี้คงยิ่งได้ซึมซับความสวยจนคุ้มไปเลย อยากมาต้องได้มา Vee Pass คือฝันเป็นจริงอีกหนึ่งแห่งของฉัน
ที่เมือง Dublin เรามีเวลาวันสุดท้ายสั้นๆเท่านั้น ฝนก็ตกไม่หยุด ที่วางแผนว่าจะเดินเที่ยวให้ทั่วเมืองจึงเปลี่ยนเป็นเพียงแค่เดินจากย่านกิ๊บเก๋แถวโรงแรมไปมหาวิหารสำคัญของดับลินคือ St. Patrick Cathedral มหาวิหารนี้มีอายุยาวนานถึงเกือบ 900 ปีจึงเป็นสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ของเมือง พิธีสำคัญต่างๆเคยจัดที่นี่และศพของคนดังคนสำคัญของไอร์แลนด์หลายคนก็ฝังอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน ประธานาธิบดี ฯลฯ ค่าเข้าชมคนละ 8 ยูโรซึ่งรวมค่าออดิโอไกด์ แต่จะเดินอ่านป้ายและแผ่นพับที่แจกให้เองก็ได้ ฉันว่ามหาวิหารนี้มีรายละเอียดการตกแต่งหยดย้อยอู้ฟู่มากทีเดียว เข้ามาแล้วรู้สึกถึงความสำคัญ และที่เห็นได้ชัดก็คือความเกี่ยวข้องกับบุคคลต่างๆของไอร์แลนด์ในอดีต หากมีเวลาไม่มากและต้องเลือกให้ชมสถานที่ได้แห่งเดียวในดับลิน วิหารนี้คือที่ๆนับว่าเหมาะสมที่สุด
ออกจากโบสถ์มาเริ่มพลบค่ำแล้ว ผู้คนเริ่มหลั่งไหลกันไปอยู่ตามผับต่างๆ ผับที่ดังที่สุดของเมืองคือ The Temple Bar แต่ต้องระวังดีๆเพราะรอบๆผับนี้มีผับอื่นหลายแห่งเลยที่ใช้คำว่า The Temple Bar ตามหลังชื่อผับของตัวเองให้คนเข้าใจผิด ของแท้จะต้องอยู่ที่หัวมุมและสีแดงแจ๋แบบในรูปเท่านั้น ข้างในแบ่งเป็นห้องต่างๆมากมาย ซับซ้อนหลายห้องหลายชั้นหลายบรรยากาศ คนแน่นเต็มเบียดเสียดกันไปหมดทุกอณู เรายึดหัวมุมเกาะกำแพงสั่งเบียร์กันมาได้หนึ่งมุมไม่ไกลจากดนตรีสดที่กำลังเล่นอยู่ บรรยากาศคนไอริชเมาในผับนี่สนุกจริงๆ ครึกครื้นเฮฮาดังลั่นไปหมด ใครมาเที่ยวไอร์แลนด์พลาดบรรยากาศผับไอริชไม่ได้เด็ดขาดเลย ไม่อย่างนั้นจะเรียกไม่ได้ว่ามาถึงไอร์แลนด์แล้ว
สุดท้ายยังมีสถานที่ๆฉันอยากไปมากที่สุดในไอร์แลนด์อยู่อีกหนึ่งแห่ง แต่ก็พลาดไปอย่างจังแบบที่ไม่น่าให้อภัยตัวเองเลย สถานที่แห่งนี้คือ Newgrange เป็นมรดกโลกของยูเนสโกด้วย ซึ่งฉันว่าสมศักดิ์ศรีเป็นที่สุด เพราะมันคือสุสานใต้ดินโบราณตั้งแต่ยุคหินใหม่หรือ Neolithic มีอายุ 3200 ปี ซึ่งนับว่าเก่าแก่ยิ่งกว่าปิระมิดที่อียิปต์และ Stonehenge เสียอีก!!!
อันที่จริงนี้ Newgrange เป็นส่วนหนึ่งของ Brú na Bóinne complex หรือบริเวณของกลุ่มสุสานหลายแห่งในบริเวณเดียวกัน อีกสองแห่งที่ใหญ่รองลงมาและไปชมพร้อมกันได้ก็คือ Knowth และ Dowth สำหรับ Newgrange ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนี้เป็นสุสานที่อยู่ใต้ Mound หรือเนินดินที่ถมขึ้นมา มีทรงกลมใหญ่ ข้างในเป็นทางเดินเป็นช่องแคบๆ ผนังเป็นหินมาซ้อนทับรับกัน มีรูปวาดโบราณแกะสลักบนหินเหล่านี้ด้วย ช่องทางเดินนี้ลึกเข้าไปจนถึงห้องที่มีผังเป็นรูปทรงไม้กางเขน ความอัศจรรย์ก็อยู่ที่ห้องตรงนี้แหละ เพราะว่าด้านบนเพดานมีช่องเปิดที่พอถึงวันเหมายันในเดือนธันวาคมของทุกปี เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น แสงแรกจะส่องผ่านช่องบนหลังคานั้นเข้ามาเป็นลำแสงเส้นตรง จากสั้นก็ยาวขึ้นเรื่อยๆ ส่องสว่างให้ห้องนั้นมลังเมลือง แล้วก็หดสั้นลงจนหายไป ทิ้งให้ห้องกลับมืดทึบเหมือนเดิม ทั้งหมดใช้เวลา 17 นาที น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก
อันที่จริงโบราณสถานที่คำนวณให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาเป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์แบบนี้มีอยู่หลายแห่ง เช่นที่ Chichen Itza และ Tulum ในเม็กซิโก ที่ปิระมิดของอียิปต์ มาชูปิชูที่เปรู ที่สกอตแลนด์ ตุรกี เยอรมันนีและ Stonehenge ในอังกฤษเอง สำหรับ Newgrange นี้ ถูกทิ้งให้เป็นซากปรักหักพังอยู่นาน และถูกค้นพบภายหลังโดยศาสตราจารย์ทางโบราณคดี และเมื่อเขาค้นพบว่าในถ้ำมีช่องที่ให้แสงอาทิตย์ส่องมาได้ในวันเหมายันปีละครั้งเท่านั้นเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องที่น่าขนลุกมาก คิดดูสิว่าปรากฏการณ์เช่นนี้ถูกออกแบบให้เกิดขึ้นซ้ำๆกันมาแล้ว 3000 กว่าปี เหลือเชื่อจริงๆ ปัจจุบันการจะไปเยี่ยมชมภายในถ้ำสุสานนี้จะต้องซื้อทัวร์เข้าไปเท่านั้น ซึ่งนี่แหละเป็นความพลาดอย่างแรงของฉัน เพราะคิดว่าไปถึงแล้วก็เข้าดูได้เลยเหมือนกับหลุมศพใต้ดินที่บัลแกเรีย ปรากฏว่าฉันไม่ได้จองไปก่อนและพอไปถึงทัวร์เต็มหมดแล้วทั้งวัน การจะจองก็จะต้องจองออนไลน์มาล่วงหน้าเท่านั้น เราก็เลยอด จะย้อนกลับมาอีกก็เต็มหมด และอยู่ไอร์แลนด์ไม่กี่วันเปลี่ยนแผนไม่ได้ เจ็บใจจริงๆเลย แต่ว่าตรง Visitor Center นี้เขามีจัดเป็นนิทรรศการให้ซื้อตั๋วเข้าไปชมได้ด้วย ในเมื่ออดเข้าชมสถานที่จริงแล้ว นิทรรศการก็ยังดี ปรากฏว่าเขาจัดทำ เล่าเรื่องและอธิบายสิ่งต่างๆได้ดีสนุกมากทีเดียว มีการจำลองห้องฝังศพในถ้ำ และมีการจำลองแสงที่ส่องเข้ามาในวันเหมายันให้ดูด้วย เลยกลายเป็นว่าเขาจัดได้ดีเกินไปจนไม่ค่อยเสียใจเท่าไรที่พลาดของจริง
ทุกปีเขาจะมีการจับฉลากหาคนโชคดีจากที่สมัครเข้ามา เพื่อเลือกคนเพียงแค่ 60 คนให้เข้ามาชมปรากฏการณ์จริงในวันเหมายันด้วย แต่ละปีมีคนสมัครมาหลายหมื่นคน ผู้โชคดีสามารถพาคนไปด้วยได้หนึ่งคน เขาจะแบ่งเป็นกลุ่มๆละ 10 คนให้เข้าไปชมเพียงแค่วันละ 10 คนเท่านั้น ซึ่งผู้โชคดีก็ไม่ต้องจ่ายค่าเข้าด้วย ปกติเวลาฉันไปเที่ยวที่ไหนแล้วพลาดของดีก็จะต้องตั้งใจกลับมาอีก คราวนี้พอได้ดูนิทรรศการแล้วได้เข้าใจแล้ว ความรู้สึกอยากกลับมาจึงน้อยลงไปเยอะ นึกในใจว่าไม่ต้องกลับมาดูก็ได้แล้วมั้ง แต่พอได้รู้ว่าเขามีการให้สมัครจับฉลากผู้โชคดีแบบนี้ ฉันจึงคิดว่าถ้าอย่างนั้นเราก็ลองสมัครมาทุกปีก็แล้วกัน ถ้าเกิดปีใดในชีวิตนี้ได้เป็นหนึ่งในผู้โชคดีขึ้นมา ก็เอาเป็นว่าจะกลับมาดูอีกครั้งตอนนั้นก็แล้วกัน
หวังว่าฉันจะได้กลับมาไอร์แลนด์และ Newgrange อีกครั้งในเวลาไม่นานจนเกินไป
ชอบมากกก ตัวเอง เป้าหมาย เลยจะต้องไป ขอบคุณมากกๆๆ
ตามรอย เร็วๆนี้ 👍👍🙏🙏💪
Comments are closed.