ตอนที่ฉันไป Antarctica ทวีปแห่งขั้วโลกใต้นั้น เราต้องบินจากเมืองบัวโนสไอเรสที่อาร์เจนตินาไปขึ้นเรือ ที่เมือง Ushuaia ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่อยู่ทางใต้ที่สุดของโลก จึงได้แวะเที่ยวและทำความรู้จักเมืองนี้เป็นเวลาหนึ่งวันครึ่ง

ที่บอกว่าเมือง Ushuaia (อ่านว่า อุสซาย่า หรือ อุสชาย่า) “เคย” ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่อยู่ทางใต้ที่สุดของโลกนั้นก็เพราะว่า เมื่อปี 2019 ทางการของประเทศชิลีได้ประกาศให้ “หมู่บ้าน” เล็กๆชื่อ Puerto Williams ของตัวที่มีตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่ใต้ลงไปกว่า Ushuaia ให้มีสถานะเป็น “เมือง” ขึ้นมา ดังนั้น Puerto Williams ก็เลยแย่งตำแหน่ง “เมือง” ที่อยู่ทางใต้ที่สุดในโลกไปจาก Ushuaia หน้าตาเฉยนับแต่บัดนั้นทั้งๆ ที่มีพลเมืองเพียงแค่ 2 พันคน แต่กระนั้น ในความเป็นจริงหลายคนก็คงนึกถึง Ushuaia ในฐานะเมืองที่อยู่ใต้สุดอยู่ดีเพราะมีความเป็นเมืองมากกว่า มีพลเมืองเกือบ 80,000 คน ทั้งเป็นท่าเรือสำคัญ มีเศรษฐกิจอุตสาหกรรมขนาดพอสมควร และมีกระทั่งมหาวิทยาลัยด้วย และ Ushuaia ก็ยังมีสโลแกนว่า Fin del Mundo หรือ End of the world ที่คนชอบไปถ่ายรูปกับป้ายอยู่ดี

สำหรับจุดท่องเที่ยวสำคัญของ Ushuaia นั้นก็คืออุทยานแห่งชาติ Tierra del Fuego เราก็ได้ไปเดินชมธรรมชาติในอุทยานมาเป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง แต่ถ้าจะถาม ฉันก็ว่าไม่ได้สวยชวนตะลึงเท่าไรหากเทียบกับธรรมชาติหลายแห่งที่เคยเห็นมา ยิ่งถ้าเทียบกับ Torres del Paine ของชิลีที่อยู่ไม่ไกลกันยิ่งเทียบไม่ได้เลย แต่ไกด์ที่พาไปอธิบายเกี่ยวกับธรรมชาติและสัตว์ต่างๆ ได้ดีมาก ในอุทยานนี้มีที่ทำการไปรษณีย์เล็กๆ หนึ่งแห่ง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นที่ทำการไปรษณีย์ที่อยู่ใต้ที่สุดของโลก เราสามารถส่งโปสการ์ดหาตัวเองได้จากที่นี่ หรือจะไปให้เขาแสตมป์ตราประทับลงพาสปอร์ตก็ได้โดยจ่ายค่าธรรมเนียม 3 ดอลล่าร์ แต่ฉันก็ไม่ได้ไปประทับตราหรอก ขี้เกียจเข้าคิว เอาเวลาไปเดินดูธรรมชาติดีกว่า ไกด์บอกว่าที่ทำการไปรษณีย์แห่งนี้นึกจะเปิดก็เปิด นึกจะปิดก็ปิด กำหนดเวลาแน่นอนไม่ได้ ดังนั้นถ้าใครจะไปส่งไปรษณีย์ก็ต้องมีการลุ้นกันหน่อย

ในอุทยานนี้มีร้านอาหารที่ไกด์พาไปกิน เขามีชื่อดังมากเรื่องแกะย่าง ซึ่งก็อร่อยจริงๆ จนไม่อยากหยุดกินเลย คนที่นี่เขาภูมิใจมากว่าเนื้อแกะของเขาอร่อย เนื่องจากแกะเขากินพืชผักที่มีปริมาณเกลืออยู่มากตามธรรมชาติเพราะเป็นเมืองติดทะเล เนื้อแกะจึงมีความเค็มปะแล่มในตัว อีกอย่างหนึ่งที่เขาทำอร่อยก็คือ Empanada อาหารของลาตินอเมริกาหลายชาติที่คล้ายกับกะหรี่ปั๊บบ้านเรานั่นเอง

ขากลับขึ้นจากเรือหลังจากไปแอนตาร์กติกามาแล้วได้กลับมาเดินเล่นชมเมือง Ushuaia อีกครั้ง เพราะเรือเรากลับเข้ามาถึงท่าเร็วกว่ากำหนด จึงมีเวลาให้มาเดินเล่นตอนกลางคืนหนึ่งรอบและตอนเช้าก่อนขึ้นเครื่องก็มีเวลามาเดินเล่นอีกรอบ เลยได้สำรวจเมืองเพิ่มเติมจนทั่วเลย

Ushuaia นี้เป็นเมืองหลักในการออกเรือไปแอนตาร์กติกาเพราะนับเป็นระยะทางเดินเรือที่ใกล้ที่สุด ใกล้กว่าออกเรือจากชิลี นิวซีแลนด์ หรือเซ้าธ์แอฟริกาเยอะ ดังนั้นรายได้ของเมืองจึงมาจากการท่องเที่ยวที่พ่วงกับแอนตาร์กติกา แต่รายได้หลักอีกอย่างก็คือการผลิตกระแสไฟฟ้าส่งให้อาร์เจนตินา โดยรวมเมืองนี้จึงเป็นเมืองที่ไม่ได้ยากจนแม้จะอยู่ไกลปืนเที่ยง อาหารการกินค่าครองชีพไม่ได้ถูกเลย ฉันกินอาหารมื้อเย็นหนึ่งมื้อที่ร้านดังเก่าแก่ที่สุดของเมือง รสชาติก็อร่อยใช้ได้แต่ราคาแพงทีเดียว ถ้าเทียบกับร้านติดอันดับชื่อดังในเมืองหลวงบัวโนสไอเรสแล้วคือคุณภาพหนึ่งใน 10 แต่ราคาเท่ากันเลย น่าตกใจมาก แนะนำว่าไม่จำเป็นอย่าเผลอไปกินอาหารตามร้านอาหารที่เมืองนี้เลย แต่สิ่งหนึ่งที่แนะนำให้กินก็คือชูโรสสอดไส้ Dulce de leche หรือนมข้นหวานของอาร์เจนตินา มีขายอยู่หลายร้าน ซื้อแบบที่เขาทำใหม่ๆ อุ่นๆ อร่อยสุดๆ ไปเลย

ตอนเย็นที่ฉันขึ้นจากเรือมาเดินเล่นนั้นพอดีอาร์เจนตินาเพิ่งชนะบอลโลกที่เตะกับโปแลนด์ ในเมืองจึงคึกคักไปด้วยคนที่ใส่เสื้อสีฟ้าขาวมาตีกลองร้องเพลงฉลองกันคึกคักเต็มไปหมด สนุกดีสมบรรยากาศละตินอเมริกา

อีกอย่างที่แนะนำคือ ถ้าใครมาที่เมืองนี้ให้แวะเข้าไปที่ Visitor Center ไม่ไกลทางเข้าท่าเรือ เขามีตรายางหลายดีไซน์วางไว้ให้แสตมป์ได้ฟรีในพาสปอร์ตด้วยตัวเองเลย จะได้เก็บไว้ดูเป็นที่ระลึกว่า ครั้งหนึ่งได้เดินทางมาถึงเมืองที่อยู่ใต้สุดของโลก หรือ End of the world แล้วนั่นเอง

NO COMMENTS