วันนี้เราขับรถจากเมือง Gilgit ไป Ghizer Valley ซึ่งปกติควรจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง แต่เราจัดไปถึง 5 ชั่วโมง เพราะเขามีการทำถนนตลอดเส้น และจะเปิดให้รถแล่นผ่านไปได้เป็นช่วงๆ เราจึงเจอช่วงปิดถนนที่ต้องจอดรออยู่เป็นชั่วโมงพร้อมกับขบวนรถคันอื่นๆ ถนนเส้นนี้แคบและลัดเลาะไปตามไหล่เขา บางช่วงที่สร้างเสร็จแล้วก็ลาดยาง แต่หลายช่วงก็เป็นหินก้อนๆ เอามาถมไว้ก่อน เวลารถแล่นไปกระโดกกระเดกหัวสั่นหัวคลอนเลย ถนนไม่มีการแบ่งเลนไม่มีการตีเส้นใดๆ ทั้งสิ้น ใครอยากแซงได้แซงไปฝุ่นตลบอบอวล แต่วิวสองข้างทางนี้สวยขาดใจจริงๆ เพราะเราแล่นลึกเข้าไปในหุบเขาซึ่งมีแม่น้ำสีฟ้าสดไหลโค้งคดเคี้ยวขนานกับถนนไปตลอด การมาเที่ยวหุบเขานี้ไม่ได้มีจุดหมายอะไรที่เป็นพิเศษ และเมืองต่างๆ ที่จะผ่านไปก็กันดารทีเดียว แต่ความสวยงามนั้นคือทิวทัศน์ที่เราแล่นผ่านไปตลอดทางนั่นเอง
เราจะพักกันที่เมือง Gupis ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆแบบชนบทของแท้ โรงแรมที่พักก็เรียบง่ายมาก เราแวะกินข้าวแล้วเหลือเวลาเพียงแค่จะไปชมทะเลสาบได้แห่งเดียวเท่านั้นก่อนพระอาทิตย์ตก แต่นั่งรถมาตั้งนานจะให้นั่งรถไปถ่ายรูปทะเลสาบแล้วจบโปรแกรมวันนี้เราก็รู้สึกว่าเสียเวลาไปหน่อย ไม่สนุกเลย สามีฉันจึง Google หาเส้นทางเดินเขา ปรากฏพบว่าเราสามารถข้ามสะพานไม้แห่งหนึ่งไปอีกฝั่งของแม่น้ำ และเดินเลาะไปบนถนนที่ไม่ได้ใช้งาน เลียบแม่น้ำไปจนถึงสะพานไม้อีกแห่งถัดไป แล้วข้ามกลับมาได้ ทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ไกด์เองก็ไม่เคยรู้เกี่ยวกับเส้นทางนี้มาก่อน แต่ก็เดินไปกับเรา เลยได้เป็นประสบการณ์ใหม่ไปพร้อมกันและเขาก็ได้เส้นทางเดินชมวิวใหม่เพิ่มขึ้นด้วย
จากนั้นเราก็ขับรถอีกนิดหนึ่งต่อไปถึงทะเลสาบ Khalti ซึ่งมีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ เราข้ามสะพานไปอีกฝั่งของแม่น้ำเพื่อชมวิวทะเลสาบ ก็ได้ของแถมเห็นชาวบ้านกำลังใช้ชีวิตตามวิถีต่างจังหวัด นักเรียนที่เลิกเรียนก็เดินกลับมาในหมู่บ้าน มีคนเดินพาวัวกลับบ้านตอนเย็น คนบางคนที่ทำงานเสร็จแล้วก็นั่งหย่อนใจอยู่ในหมู่บ้าน แต่ก็มีกลุ่มผู้ชายกลุ่มหนึ่งกำลังช่วยกันแบกข้าวของก่อสร้างยังไม่ยอมเลิกงาน เราเดินต่อไปที่สนามโล่งริมแม่น้ำ มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ สามคนกำลังเล่นตีคริกเก็ตกัน ไกด์เราจึงลงไปเล่นด้วยอย่างสนุกสนาน จากนั้นเราก็เดินไปสั่ง Chai หรือชาจากร้านอาหารเล็กๆ ริมถนน นั่งดื่มเก้าอี้บนพลาสติกในสวนหลังร้านเขา เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายท่ามกลางวิวที่ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์เหลือเชื่อ ต้องบอกว่าชีวิตชาวบ้านแถวนั้นอาจจะดูไกลความเจริญเหมือนจะขาดแคลน แต่ธรรมชาติและวิวของเขานั้นมากมายและสวยงามหลักล้านจริงๆ
ใน Ghizer Valley นี้เราพักหนึ่งคืนที่เมือง Gupis แล้วก็นั่งรถปุเลงๆ ต่อไปอีก 2 ชั่วโมงกับระยะทางเพียง 50 กิโลเมตร เพราะสภาพถนนและเพราะการปิดถนนเนื่องจากก่อสร้าง เพื่อไปชมทะเลสาบ Phander
ตรงหัวทะเลสาบมีสะพานเดินข้ามไปทางฝั่งที่เป็นไร่สวนเรือกนาของชาวบ้าน เรานั่งรถมานานขนาดนี้จะให้ถ่ายรูปกับทะเลสาบแล้วกลับเลยก็กระไรอยู่ จึงบอกไกด์ว่าขอให้พาเดินเล่นสัก 1 ชั่วโมง ไกด์เลยพาเดินเข้าไปในไร่ของชาวบ้าน จึงได้เห็นวิวสวยๆ โล่งๆ ของทุ่งนาทุ่งหญ้าริมทะเลสาบ หมู่บ้านนี้อยู่ไกลปืนเที่ยงและกว่าจะมาถึงลำบากจริงๆ แต่สังเกตดูแล้วบ้านเรือนส่วนมากของเขาหลังใหญ่และใหม่อยู่ เราเห็นนักเรียนเดินไปโรงเรียนกันเยอะดูแต่งตัวเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน จึงน่าจะพอสรุปได้ว่าคนที่นี่ไม่ยากจนเลย และให้ความสำคัญกับการศึกษามากทีเดียว
จากนั้นเราก็นั่งรถฝ่าฝุ่นปุเลงๆ เลียบหน้าผากลับเข้าสู่เมือง Gilgit รวมเวลาที่ใช้ไปสองวันนั่งรถหัวสั่นหัวคลอนไปชมทะเลสาบสองแห่งนี้แล้ว ฉันว่าหากใครมีเวลาไม่มากจะตัดทิ้งก็ได้ แต่ถ้าใครไปก็ขอแนะนำว่าห้ามหลับเด็ดขาด เพราะถ้าจะให้คุ้มต้องชมวิวระหว่างทางไปด้วย เนื่องจากเราขับรถเลียบแม่น้ำ Gilgit ไปตลอดทาง เป็นวิวที่สวยทีเดียว
พอมาถึงเมือง Gilgit ฉันตอนเย็นบอกไกด์ว่าช่วยพาไปสุสาน British Cemetery หน่อย ไกด์ไม่อยากจะพาไป บอกว่าเล็กมากมีหลุมศพไม่กี่หลุม และคงไม่เข้าใจว่าจะไปทำไม แต่ฉันก็ยืนยันเพราะมีเวลาเหลือจึงต้องขอไปดูสุสานของชอบเสียหน่อย ที่นี่เป็นที่ฝังศพของชาวอังกฤษที่มาเสียชีวิตที่นี่จากการสำรวจและการเดินเขา
ติดกับสุสานนี้ก็เป็นตลาดหรือ Gilgit Bazaar บังเอิญเราเป็นคนเดินทางแล้วไม่ค่อยชอบช้อปปิ้ง ตลาดแขกก็เห็นมาเยอะ จึงบอกไกด์ว่าให้พาเดินทะลุตลาดไปที่สะพานข้ามแม่น้ำอันเป็นสัญลักษณ์เพื่อชมบรรยากาศเท่านั้นพอ แต่ไม่ต้องช้อปปิ้ง จึงได้ชมตลาดสดของแขกที่นี่ ผักผลไม้สดๆ ปลูกกันแบบเป็นธรรมชาติไม่ใช้สารเคมี น่าซื้อมาทำกับข้าวจริงๆ
เป็นอันจบวันและจบโปรแกรมที่เมือง Gilgit วันพรุ่งนี้เราจะขับรถลงใต้ไปอีกสถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งฉันตั้งตารอคอยที่จะไปเห็นกับตาให้ได้อย่างมากๆ เลย