วันที่ 2 บน Fairy Meadows เป็นวันของทริปเดินเขาทั้งวัน จากหมู่บ้านเราเดินต่อไปกันอีกร่วม 6 ชั่วโมง ไปกลับก็ประมาณ 20 กิโลเมตรโดยใช้เวลาเดิน 2 ชั่วโมงถึง Biyal Camp ที่เราจะย้อนมากินอาหารกลางวันกัน บริเวณนี้มีบ้านไม้หลายหลังกระจายกันอยู่ทั่วบริเวณกว้าง เป็นที่พักด้วย และมีบ้านชาวบ้านพร้อมคอกสัตว์อยู่ด้วย
จากจุดนี้เดินอีกเกือบชั่วโมงก็ถึง The View Point เป็นจุดชมวิวที่ได้เห็นเทือกเขา Nanga Parbat อย่างชัดเจน และเห็นธารน้ำแข็ง Raigot Glacier อย่างใกล้ชิด สวยงามมากๆ ตอนที่เดินขึ้นนั้นมีนักท่องเที่ยว 2 กลุ่มสวนกลับลงไป แต่พอเราไปถึงข้างบนแล้วไม่มีคนอื่นเลย ทริปนี้ไปไหนก็แทบจะมีแต่เราเท่านั้นจริงๆ โดยเฉพาะสถานที่ๆ ต้องเดินป่าเดินเขาเข้าไป ไกด์บอกว่านักท่องเที่ยวเอเชียจะไม่เดินเลย นั่งรถชมวิวเอา พอถึงที่ก็เดินลงไปถ่ายรูปทำมินิฮาร์ทแล้วก็กลับ คงเป็นสาเหตุที่ในป่าเขาเลยไม่มีนักท่องเที่ยวอื่นมากนัก
เส้นทางเดินนี้สามารถเดินต่อไปถึง Base camp ของคนที่จะปีนเขาพิชิต Nanga Parbat โดยจะใช้เวลาอีกชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น แต่ทางจะเริ่มยากเพราะมีหิมะปกคลุมมากขึ้น ที่สำคัญเรามีเวลาไม่พอ คำนวณแล้วถ้าไปก็จะกลับถึงรีสอร์ตมืดตื๋อแน่ๆ จึงขอจบที่จุดชมวิวนี้แล้วเดินกลับลงมา แค่นี้ก็อิ่มใจมากแล้ว เพราะวิวระหว่างเดินกับที่ธารน้ำแข็งนั้นสวยจริงๆ ฉันว่าทางเดินก็ไม่ยากเท่าไร อยากจะแนะนำว่า หากใครมา Fairy Meadows ขอให้เดินต่อมาเถอะ ลำบากลำบนทั้งนั่งรถจี๊ปทั้งเดินไต่เขาขึ้นมาขนาดนี้ อย่ามาแค่ถ่ายรูปกับจุดเช็คอินแค่จุดเดียวเลย เอาให้คุ้มเถอะ สำหรับฉัน ของจริงคือ Nanga Parbat และ Raigot Glacier มากกว่า
วันสุดท้ายที่ Fairy Meadows ตามแผนคือเราจะเริ่มเดินเท้ากลับลงมาตั้งแต่ 7 โมงครึ่งเป็นเวลาชั่วโมงกว่า แล้วต่อรถจี๊ปอีก 1 ชั่วโมง จึงจะลงมาถึงโรงแรมที่จอดรถทิ้งเอาไว้ เมื่อคืนก่อนนอนฝนตกปรอยๆ อากาศเย็นลงเยอะมาก นาฬิกาปลุก 6 โมงครึ่งแต่หนาวจนลุกไม่ไหวเลยเพราะห้องพักไม่มีฮีทเตอร์ กัดฟันลุกขึ้นมา ข้างนอกยังมืดอยู่ สามีเปิดม่านหน้าต่างมองออกไปแล้วหัวเราะลั่น ฉันวิ่งไปดูตามแล้วก็เป็นดังคาด ด้านนอกหิมะปกคลุม Fairy Meadows ขาวโพลนไปหมด ยิ่งเหมือนสรวงสวรรค์เข้าไปใหญ่ รู้สึกตัวว่าช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้เห็น Fairy Meadows ทั้งยามเขียวชอุ่มและยามที่ขาวโพลนในทริปเดียว
ฉันจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผนนิดหน่อยคือ ขอขี่ม้าลงมาแทนการเดินเนื่องจากหิมะค่อนข้างหนาและทางลื่นทีเดียว ถ้าจะเดินก็คงได้แหละแต่ฉันคงต้องใช้เวลาเยอะหน่อย ทีนี้วันนี้เราอยากทำเวลาให้เร็วเนื่องจากต้องขับรถยาว 7 ชั่วโมง ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงกับหนุ่มๆ อีกสามคนซึ่งจะเดินได้เร็วอยู่แล้ว จึงตัดสินใจนั่งม้าลงมาแทน ทำให้เวลาที่เดินลงของเราใช้ไปเพียง 1 ชั่วโมงแถมฉันยังได้ขี่ม้าเล่นสนุกแถมอีก
พอมาถึงหมู่บ้าน Tato เพื่อนั่งรถจี๊ปต่อก็ปรากฏว่า มีคนจูงม้าคนหนึ่งขอติดรถเราลงมาด้วยเพื่อจะไปโรงพยาบาล เท้าเขาบวมเป่ง เป็นแผลแล้วน่าจะหักด้วยจากอุบัติเหตุม้าเมื่อวันก่อน ไม่ทราบว่าตกม้าหรืออย่างไรฟังกันไม่รู้เรื่อง แต่เท้าเขาดูน่ากลัวทีเดียว เอาผ้าก๊อซชุบทิงเจอร์พันเอาไว้แล้วใช้หนังสติ๊กมัด และเอาเชือกผูกเป็นเฝือกให้งอขึ้นมา และใช้กิ่งไม้เอามาพยุงแทนไม้เท้า โอ้ยทุกอย่างโฮมเมดหมด เนื้อตรงที่หนังสติ๊กมัดเท้าเอาไว้ก็แลดูบวมและโดนกดลงไปลึก น่ากลัวจริงๆ ว่าจะลามไปติดเชื้ออย่างรุนแรงในกระแสเลือด ถามเขาก็บอกว่ามีไข้นิดหน่อยด้วย ฉันจึงบอกว่าลงไปข้างล่างแล้วอยากได้ช้าให้รีบไปโรงพยาบาลทันที
รถจิ๊ปและลงมาได้นิดหนึ่งคนขับก็บอกให้พวกเราทุกคนลงเดินเท้ายกเว้นคนเจ็บ เนื่องจากด้านหน้าตรงมุมหักศอกนั้นมีน้ำตกที่เกิดจากหิมะละลายไหลซู่ตัดถนน พัดชะดินโคลนไหลลงหน้าผาไปเลย คนขับกลัวว่าหากตอนที่ขับรถผ่านแล้วลื่นอาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ จึงลดความเสี่ยงโดยการให้พวกเราลงเดินแทน เลยได้ลุยโคลนกันเละเทะเลย
ขึ้นรถแล้วไปต่อได้สักพักก็เจอรถจี๊ปที่แล่นสวนมาจอดขวางทางแคบๆ ริมหน้าผาอยู่กลางถนนชนิดที่สวนไปไม่ได้เลย ปรากฏว่าแบตเตอรี่รถเขาหมดเลยจอดรอความช่วยเหลืออยู่ ทางเรามีทั้งคนขับรถจี๊ปและคนขับรถของเรา และยังไกด์กับสามีฉันอีกที่รู้เรื่องรถกันหมด จึงลงไปช่วย แต่ปรากฏว่ารถทั้งสองคันไม่มีสายพ่วงแบตเตอรี่เพื่อจัมพ์สตาร์ทเลย ปรากฏเขาทำกันอย่างไรรู้ไหม เขามาถอดเอาแบตเตอรี่จากรถของเราไปใส่แทนแบตเตอรี่รถจิ๊ปคันนั้นเลย แล้วพอสตาร์ทติดก็เปลี่ยนแบตเตอรี่ของเรากลับคืนมา ลูกทุ่งจริงๆ
กว่าจะกลับลงจาก Fairy Meadows มาถึงพื้นข้างล่างได้กินเวลาไป 2 ชั่วโมงกว่าพร้อมความระทึกใจตลอดเวลา ไม่นับความระทึกที่เกิดจากความเสียวในการมองลงไปหน้าผาข้างล่างอีกต่างหาก แต่ถึงจะสมบุกสมบันปานนี้ ตลอดเวลาที่แล่นลงมาก็มีรถจี๊ปพากลุ่มนักท่องเที่ยวขึ้นไป Fairy Meadows หลายสิบคันทีเดียว แต่ละคันมีผู้โดยสารนั่งไปสี่ถึงห้าคน ส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวไทยและจีน เห็นแล้วก็แปลกใจว่ามีคนมาเที่ยวที่นี่กันเยอะและเป็นชาติที่ไม่ค่อยเที่ยวสมบุกสมบันเท่าไหร่ด้วย ก็หวังว่า Fairy Meadows จะคงความงามตามธรรมชาติแบบนี้เอาไว้ได้อย่างสมดุลย์กับความเจริญและนักท่องเที่ยวที่เข้ามา