แคว้น Puglia อันตั้งอยู่ตำแหน่งส้นรองเท้าบูทของอิตาลีนี้มีชายฝั่งทางทิศตะวันออกยาวติดทะเล Adriatic ฉันได้ข่าวว่าทะเลทางนี้สวยใช้ได้ทีเดียว เมื่อวางแผนมาเที่ยวที่แคว้นนี้จึงปักหมุดเอาไว้หลายเมือง ทั้งเมืองริมทะเลและเมืองมรดกโลกที่มีสถาปัตยกรรมเฉพาะตัวไม่เหมือนที่ใดในโลก
เมืองริมทะเลเมืองแรกเป็นเมืองจิ๋วหรือจะเรียกว่าหมู่บ้านก็ได้ คือ Polignano a Mare ปรากฏว่า โอ้โห น่ารักใช้ได้เลย เมืองแม้จะไม่ใหญ่ แต่ก็มีมุมสวยให้ถ่ายรูปหรือแวะชมความน่ารักเยอะทีเดียว ความพิเศษไม่เหมือนเมืองไหนก็คือ พอลัดเลาะไปตามตรอกเล็กตรอกน้อยแล้ว เดี๋ยวๆ ก็จะโผล่มาถึงตรอกที่เป็นระเบียงโผล่ออกไปชมวิวทะเลได้เป็นระยะๆ ซึ่งบริเวณระเบียงเหล่านี้ก็มักจะมีคาเฟ่ ร้านไอศกรีม หรือร้านอาหารเล็กๆ ให้นั่งละเลียดชมวิวอยู่ น่ารักไปหมดทุกซอกทุกมุมเลย
ส่วนทะเลนั้นก็สีสวยได้ใจจริงๆ ในทะเลมีคนเล่นเรือเต็มไปหมด เป็นเรือเล็กที่ออกไปเพื่อว่ายน้ำและชมชายฝั่ง แล่นเข้าไปสำรวจถ้ำซึ่งเว้าเข้าไปอยู่ใต้เมือง น่าสนใจมากๆ คือตรงชายฝั่งที่ติดทะเลนี้ไม่ได้เป็นชายหาดแบบเดินลงไปได้ แต่เป็นหน้าผาหินตั้งสูงเหนือทะเล ดังนั้นเวลาเราไปยืนชมวิวที่หน้าผานี้มันจึงสูงกว่าระดับน้ำมาก และด้วยความที่หน้าผามันคดเคี้ยวจึงทำให้เราได้มองเห็นว่าข้างใต้หน้าผานี้มันเว้าเข้าไป นี่ถ้ามีเวลาฉันคงจะเช่าเรือแล่นเข้าไปสำรวจข้างใต้หน้าผานี้แล้วเหมือนกัน และในทะเลนอกจากเรือต่างๆแล้วยังมีคนพาย Stand-Up Paddle กันเป็นกลุ่มใหญ่ เหมือนจะพายไปสำรวจชายฝั่งชมวิวกัน แลดูน่าสนุกจริง
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเมืองนี้จะไม่มีชายหาดที่เดินเหยียบทรายลงน้ำไปได้ หาดสำคัญชื่อดังของเมืองคือ Lama Monachile นั้นเรียกว่าเป็นสัญลักษณ์ของคือ Polignano a Mare เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะสวยมากๆแล้วยังเป็นชายหาดที่มีลักษณะไม่เหมือนใคร คือมันไม่ได้อยู่ในทะเลเปิด แต่มันเป็นส่วนที่น้ำเว้าเข้าไปเป็นอ่าวเหมือนทะเลปิดเล็กๆ น้ำสีสวยมากๆ เราไปยืนชมวิวจากระเบียงด้านบนหน้าผามองลงมาสวยชวนตะลึงใช้ได้ทีเดียว และมีส่วนเหมือนผาหินให้กระโดดลงน้ำได้ มีคนกระโดดเล่นน้ำกันสนุกสนานใหญ่ ตรงนี้เป็นชายหาดสาธารณะแต่ว่าสวยขาดใจไปเลย ฉันสรุปด้วยตัวเองว่า ทะเลอิตาลีทางฝั่ง Adriatic นี้ สวยไม่แพ้ทาง Amalfi coast เช่น Capri หรือ Positano ที่โด่งดังในหมู่นักท่องเที่ยวเลย
วันต่อมาฉันจะได้ไปชมบ้านขนมครกที่ตั้งใจมาชมในทริปนี้แล้ว
ที่เรียกบ้านขนมครกนี้ก็คือฉันคิดเรียกเอาเองไม่เกี่ยวกับใคร เพราะว่าบ้านหินโบราณที่มีหลังคาทรงกรวยพร้อมหัวจุกนี้ มันหน้าตาเหมือนเตาขนมครกโบราณอย่างมาก แต่จริงๆแล้วชื่อของบ้านหินแบบนี้คือ Trulli ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับขนมครกเลย
บ้าน Trulli นี้เป็นสถาปัตยกรรมพิเศษเฉพาะตัวของแคว้น Pugli ทางใต้ของอิตาลี หลังคาทำด้วยหินเรียงกันเป็นรูปทรงกรวย อันที่จริงบ้านแบบนี้ไม่ได้เก่าแก่มาก มีอายุเพียงแค่ประมาณ 500 ปี เรื่องราวก็สืบเนื่องมาจากว่า มีท่านเค้านท์คนหนึ่งของอิตาลี ได้มอบที่ดินในบริเวณนี้ให้ชาวนา 40 ครอบครัวได้ทำการเกษตรและอยู่อาศัยด้วยข้อตกลงที่ว่า จะต้องมอบผลิตผลให้ท่านเค้านท์คนนี้ 10% ของที่ทำได้ ทีนี้เวลาผ่านไปหลายปี มีท่านเค้านท์อีกคนหนึ่งมาแทน เขาอยากขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้น มีคนมาอยู่มากขึ้น อยากให้เจริญขึ้นว่างั้นเถอะ ตอนนั้นบริเวณนี้ของอิตาลียังเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรเนเปิ้ลซึ่งมีผู้ปกครองเป็นคนสเปน ทุกคนต้องส่งภาษีให้ผู้ปกครองคนนี้ ท่านเค้านท์คนหลังนี้จึงคิดแผนช่วยชาวนาแถวนี้ว่า ถ้าจะเลี่ยงไม่ต้องจ่ายภาษีให้เนเปิ้ลก็ต้องสร้างบ้านโดยที่ไม่มีการใช้ปูนฉาบยาบ้านเลย เขาจึงบอกชาวบ้านว่าให้สร้างบ้านอย่างไรก็ได้โดยที่ไม่ต้องมีการฉาบปูน และให้ใช้หินปูนแห้งๆที่มีอยู่ในบริเวณภูมิประเทศแถวนี้ ถ้าเกิดทำได้ก็จะไม่ต้องจ่ายภาษี ชาวบ้านจึงคิดหาวิธีและพบว่าการเอาหินมาเรียงกันเป็นหลังคาทรงกรวยแบบนี้ไม่จำเป็นจะต้องใช้ปูนยาให้กินติดกัน เพราะการเรียงแบบนี้จะทำให้หินค้ำกันอยู่ได้เอง สุดท้ายบ้านทรงหลังคาขนมครกแบบนี้จึงได้มาเป็นสถาปัตยกรรมเฉพาะตัวของแคว้น Pulia นี่เอง
ปัจจุบันเมืองที่นับว่าเป็นศูนย์กลางของบ้านหลังคาขนมครกนี้ก็คือเมือง Alberobello เพราะมีบ้านแบบนี้เยอะมาก ฉันได้ไปเที่ยวชมมา ขอบอกว่ามันน่ารักมากๆ จริงๆ เมืองไม่ใหญ่มาก เดินเที่ยวได้ทั่วภายในหนึ่งวัน ในเมืองเองก็ไม่ได้มีสถานที่สำคัญมากมายอะไรที่ต้องเยี่ยมชม จึงไม่ต้องใช้เวลามาก มีโบสถ์เล็กๆหลายแห่งอยู่กระจายกันไปในเมือง ด้านในไม่ค่อยสวยอลังการเท่าไหร่หรอกถ้าเทียบกับเมืองอื่นของอิตาลี และมีพิพิธภัณฑ์อยู่สองสามแห่งที่ตกแต่งแสดงให้เห็นว่าสถาปัตยกรรมและชีวิตภายใน Trulli นี้เป็นอย่างไร ฉันไม่ได้เข้าไปดูเพราะว่าโรงแรมที่พักเป็นบ้านกรวยนี้อยู่แล้วจึงไม่รู้สึกว่าต้องเข้าไปชมอีก
ทั้งวันจึงเดินเล่นอยู่ในเมืองนี้ซอกแซกไปมาชมความงามของสถาปัตยกรรมภายนอก แนะนำว่าถ้าเดินไหวอย่าเดินเฉพาะในเมืองเก่าตรงที่นักท่องเที่ยวเยอะ แต่ให้เดินไปรอบนอกของเมืองด้วยเพราะมีบ้าน Trulli ที่คนยังอาศัยอยู่ในปัจจุบันกระจายอยู่มากมาย จะได้เห็นแบบชีวิตประจำวันด้วย ฉันเผื่อเวลาไว้เยอะจึงได้เที่ยวชมทั้งแบบที่บูรณะจนสวยแล้ว แบบที่เป็นร้านขายของดักนักท่องเที่ยว แบบที่อยู่ในรอบนอกเมือง และแบบที่กำลังบูรณะกันอยู่ ด้วยความสวยงามและไม่เหมือนใครเช่นนี้ Alberobello จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกด้วยเช่นกัน
และไหนๆ มาเที่ยวที่ Puglia ชม Trulli แล้ว เที่ยวเหนือฟ้าของฉันก็จะต้องไปหาโรงแรมที่สร้างอยู่ใน Trulli ของแท้นอนอย่างพลาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต้องร้องไห้เสียใจอย่างแน่นอน
อันที่จริงโรงแรมที่ดัดแปลงเอาทรุลลี่มาเป็นโรงแรมนี้มีอยู่เยอะทีเดียว ไม่ได้หายากเหมือนโรงแรมถ้ำที่ Matera แต่พวกโรงแรมที่อยู่ใน Alberobello เองมักจะเป็นประเภทบีแอนด์บี หรือไม่ก็ยังไม่เก๋โดนใจฉันเท่าไร ฉันจึงเลือกไปพักโรงแรมซึ่งอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ห่างจาก Alberobello ออกไปครึ่งชั่วโมง
โรงแรมนี้มีทรุลลี่เป็นกลุ่มก้อนใหญ่ทีเดียวอยู่บนเนินเขากลางไร่มะกอก จึงนำมาดัดแปลงเป็นห้องพักได้หลายแบบหลายขนาด เหมือนหมู่บ้านเล็กๆกลางสวนโอลีฟ น่ารักมากๆ มีสระว่ายน้ำอยู่ตรงกลางสนาม และมีบาร์เครื่องดื่มให้สั่งมาจิบแกล้มการนอนอาบแดดเล่นน้ำ พร้อมอ่านหนังสือหรือทอดสายตามองออกไปในสวนโอลีฟ สวรรค์ในหน้าร้อนดีๆนี่เอง
ห้องในทรุลลี่นี้ขนาดค่อนข้างเล็ก แต่เขาก็ดัดแปลงใส่ความทันสมัยทุกอย่างเข้าไปอย่างสะดวกสบาย และทุกห้องจะมีบริเวณนั่งเล่นในสนามหญ้าด้านนอกแบบส่วนตัว เราจึงไม่รู้สึกอึดอัดเท่าไหร่ แต่รู้สึกเหมือนมาบ้านพักส่วนตัวมากกว่า
อาหารเช้าที่นี่ก็เลิศเช่นกัน ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นจัดมาอย่างเต็ม ส่วนมื้อเย็นก็เป็นเซ็ตเมนูอร่อยมาก ถ้าไม่จองล่วงหน้านี่ไม่มีทางได้กิน ทริปนี้จึงสมบูรณ์ด้วยว่า ได้ทั้งเที่ยวชมเมืองบ้านขนมครกและได้นอนในบ้านขนมครกโบราณแท้ สมใจที่ใฝ่ฝันไว้ว่าจะได้มาตามประสาคนบ้าสถาปัตยกรรมโบราณ
และไหนๆ มา Puglia แล้ว เราก็จะต้องสำรวจให้ถ้วนทั่วไปกว่าแค่ Alberobello เมืองมรดกโลก เราจึงแวะไป Ostuni หรือที่เรียกกันว่าเมืองสีขาว The White Town หรือ La Città Bianca ในภาษาอิตาเลียน เป็นเมืองน่ารักขนาดเล็กอีกเมืองหนึ่งในแคว้น Puglia ที่ฉันขอแนะนำให้ไปเที่ยวกันเลย เพราะมันสวยน่ารักและถ่ายรูปขึ้นอย่างมากจริงๆ
Ostuni เป็นเมืองเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยกรีกโรมัน ผ่านมือผู้ปกครองมาหลายคน ตัวเมืองเก่าตั้งอยู่บนเนินเขา ชัยภูมิเป็นป้อมปราการมั่นอย่างดีมีกำแพงเมืองล้อมรอบ ตัวเมืองทาสีขาวทั้งหมด จึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองสีขาว หากมองมาแต่ไกลจะเห็นทั้งเมืองขาวโพลนอยู่บนเนิน สวยชวนตื่นตาตื่นใจตั้งแต่แรกเห็นจากระยะไกล เสียดายตอนที่เราแล่นรถเข้าเมืองมาหาจังหวะจอดถ่ายรูปไม่ถนัด เลยอดได้รูปสวยจากระยะไกล
แต่พอมาเดินในเมืองแล้วปรากฏได้ถ่ายรูปจนโทรศัพท์แทบจะระเบิด เพราะสวยแทบทุกซอกทุกมุม ทั้งเมืองมีตรอกเล็กๆ เดินทะลุไขว้ไปมาระหว่างบ้านคน ร้านค้า และอาคารตึกต่างๆ เรียกว่าเดินสำรวจเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาทะลุไปมาเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่หมด และแทบจะทุกก้าวเดินก็จะต้องหยุดถ่ายรูปกันทุกก้าวทีเดียว
เมืองนี้ไม่ได้มีสถานที่สำคัญอะไรมากนอกจากโบสถ์ใหญ่ประจำเมือง แต่ความน่ารักกุ๊กกิ๊กนี่แหละทำให้เป็นเมืองตากอากาศในหน้าร้อนที่ใครมาเที่ยว Puglia ก็มักจะต้องแวะมา การเดินเล่นชมเมืองใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งวันก็น่าจะทั่วสบายๆ ฉันแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องพักในเมืองนี้ จะพักเมืองริมทะเลก็ได้เพราะอยู่ห่างจากทะเลเพียงแค่ 8 กิโลเมตร หรือจะพักเมืองในไร่โอลีฟ เมืองใกล้ๆ Alberobello ก็ได้ แล้วขับรถมาเที่ยว หากจะใช้เวลาสบายๆ ละเลียดกินข้าวกลางวันข้าวเย็นด้วยแค่หนึ่งวันเต็มก็เกินพอ ในเมืองมีร้านอาหารอร่อยหลายร้านพอสมควร น่าเสียดายช่วงที่ฉันไปนี้ร้านดังๆ หลายร้านเจอพิษโควิดปิดกิจการกันไปเยอะ เราคงต้องช่วยกันไปเที่ยวอุดหนุนฟื้นฟูธุรกิจเขาหน่อยแล้ว เมืองน่ารักออกเสียขนาดนี้
อีกหนึ่งหมู่บ้านที่อยากจะแนะนำก็คือ Locorotondo เป็นหมู่บ้านเล็กนิดเดียว เงียบมากๆ และเหมือนมีแต่ชาวบ้านท้องถิ่น แต่ว่าพอเดินซอกซอนไปตามตรอกเล็กตรอกน้อยโผล่ไปมุมไหนก็ต้องร้องวี๊ดว้ายด้วยความตื่นเต้นไปเสียทุกซอกมุม
อีกเมืองคือ Ceglie Messapica อันนี้น่ารักน้อยหน่อยแล้วก็ไม่ใหญ่มาก อีกเมืองคือ Martina Franca เมืองนี้นับว่าใหญ่และมีวิถีชีวิตของความเป็นคนเมืองอยู่พอสมควรทีเดียว ถนนหนทางมีร้านขายของต่างๆยี่ห้อที่เรารู้จักกันดี คนคึกคัก รถก็ติดเวลาเลิกงาน แต่ก็มีส่วนเมืองเก่าให้เดินเลาะไปตามตรอกซอกซอยได้เที่ยวชมอยู่เช่นกัน เสียดายเมืองนี้ฉันไปตอนค่ำแล้วจึงไม่ได้ถ่ายรูปตอนแสงสวยๆ กลางวันมาให้ชม
ถ้าจะนับกันเป็นแคว้น ก็ต้องบอกว่า Puglia เป็นอีกแคว้นหนึ่งของอิตาลีซึ่งฉันชอบมากๆ ทีเดียว มีทั้งทะเล ไร่สวนต้นโอลีฟ และเนินเขา แถมมีสถาปัตยกรรมสวยงามน่าสนใจ เป็นวิถีเมืองเล็กที่ความสวยงามไม่เล็กตามไปด้วยเลย เมืองเหล่านี้นอกจากจะมีความกุ๊กกิ๊กน่ารักด้วยตัวของมันเองแล้ว ในบริเวณนี้ที่เรียกว่า Itria Valley นี้ยังมีบ้านขนมครก Trulli อยู่มากมายทั้งในเมืองและในสวนในทุ่ง ขับรถไปตามเส้นทางชนบทสายเล็กๆระหว่างหมู่บ้านก็จะเห็นอยู่เต็ม และส่วนมากก็ยังเป็นที่อยู่อาศัยใช้งานจริงของชาวบ้านในปัจจุบัน อยากจะแนะนำว่า ถ้าใครมาเที่ยวแถวนี้ ให้เผื่อเวลาเอาไว้ให้ซอกซอนเจาะลึกไปตามหมู่บ้านเล็กๆ เหล่านี้ด้วย อย่าไปแค่เฉพาะเมืองท่องเที่ยว หรือแค่เมือง Alberobello จะได้ดื่มด่ำกับแคว้นปูเลียของอิตาลีแบบลึกซึ้งจริงๆ
charming Puglia ka. I was deciding between the two but ended up with Amalfi.
see you next time Puglia.
Comments are closed.