สมัยเวลาไปทำงานอินเดียอย่างอุตลุดที่เล่าให้ฟังนั้น การจัดการเรื่องต่างๆสำหรับการเดินทาง การประชุม และนัดหมาย ต้องเตรียมล่วงหน้าไว้อย่างดีเลิศเป๊ะๆๆเพราะจะพลาดและเสียเวลาไม่ได้เลย โชคดีที่บริษัทไม่งกในการจะอำนวยความสะดวกต่างๆเพื่อให้พนักงานไปทำงานได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ว่าจะเป็นการบิน รถรา โรงแรม อาหาร เลขาจะเตรียมจองทุกอย่างไว้ให้อย่างดีตามที่เราต้องการ และเนื่องจากบริษัทสาขาที่อินเดียเป็นบริษัทใหญ่มากๆ มีพนักงานจากหลายประเทศเดินทางไปประชุมกันตลอดเวลา จึงมีการใช้เอเจนซี่ชั้นนำหลายเจ้าอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆกันไปครบทุกเรื่อง เช่นรถรับส่งประจำตัวพนักงาน บริษัทจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม ฯลฯ ซึ่งบริษัททั้งหลายนี้ก็จะให้บริการเราดีเป็นพิเศษเพราะปีหนึ่งๆเขาได้เงินจากบริษัทเรามากอยู่ ถ้าบริการไม่ดีแล้วเราไปบ่น ปีถัดไปเขาอาจถูกปลดได้
ครั้งหนึ่งฉันต้องวิ่งรอกประชุมหลายที่อย่างแฮ่กมากที่อินเดีย ประชุมหลายวันที่มุมไบเสร็จแล้วต้องจับเครื่องไปประชุมต่ออีกหนึ่งวันที่เดลี เครื่องออกเช้าแปดโมงต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า เครื่องจะลงเก้าโมงต้องวิ่งๆๆๆๆไปเข้าห้องประชุมให้ทันสิบโมง เวลาที่มีเฉียดฉิวมากเพราะกว่าจะฝ่าฝูงชนจากสนามบินออกมา แล้วยังต้องนั่งรถเข้าเมืองเดลีอีกเกือบชั่วโมง การจราจรก็รู้ๆกันอยู่ แต่ไม่มีทางเลือกเพราะจะมาล่วงหน้าคืนหนึ่งก็ไม่ได้ งานคืนก่อนเสร็จดึกเกิน ฉันนั้นใจเป็นกังวลลุ้นเรื่องเวลาตั้งแต่ตื่นมาขึ้นเครื่องแล้วว่าจะทันไหม ตอนเช็คอินขอบี้เขาเอาที่นั่งแถวแรกสุดมาจะได้วิ่งออกจากเครื่องคนแรก
เครื่องลงประตูเปิดปุ๊บฉันจึงโกยแน่บวิ่งๆๆๆแหวกบรรดาแขกออกมา ถึงด้านนอกเอ๊ะทำไมไม่มีคนขับรถมายืนถือป้ายชื่อรอรับ เดินตรวจแถวแขกที่ถือป้ายชื่อกันสลอนลายตาเป็นที่สุดกลับไปมาอีกหลายรอบ ไม่มีชื่อเราแฮะ เริ่มหงุดหงิด ทำไมมาพลาดเอาเวลาสำคัญ เดินออกมาด้านนอกแล้วโทรกลับไปโวยกับเลขาแขกที่มุมไบว่าชั้นมาถึงแล้วไม่มีคนมารับ จะไปประชุมสายแล้ว กรุณาแก้ปัญหาด่วน เลขาละล่ำละลักว่าอีนี่นายจายเยนเยน เดี๋ยวฉานจัดการห้ายทันที วางหูไปไม่กี่นาทีมือถือก็ดังขึ้น เป็นบริษัทรถที่เราจ้างมาขับดูแลฉันตลอดทั้งทริปที่เดลี แขกพูดจาดีฟังดูเป็นระดับผู้จัดการมาพูดเอง (แน่หละ ไม่งั้นเอาฉันไม่อยู่) บอกว่าคนขับรถที่มารับฉันรออยู่แล้วที่สนามบิน พร้อมพาฉันบึ่งไปประชุมได้ทันที ฉันว่าอ้าวไหนล่ะ ไม่เห็นมีใครถือป้ายรอเลย ทำไมผิดที่ผิดทางอย่างนี้ ของง่ายๆมัวแต่ไปรอที่ไหน อย่ามาแก้ตัวมั่วนิ่มไม่มีเวลาฟัง แขกบอกว่าอีตาคนรถรออยู่จริงๆ เขาโทรคุยกันแล้ว แล้วบอกว่าให้ฉันโทรเข้ามือถือคนรถจิกตรงได้เลย ฉันเล่นแง่วางอำนาจอีก “ไม่โทร ให้เขาโทรเข้ามาเครื่องฉันสิ เรื่องอะไรให้ฉันเหนื่อยกดออกอีก คลื่นโทรศัพท์อินเดียแย่จะตาย หมุนไม่ค่อยติด” เขาว่าได้ไม่มีปัญหา อีนี่ฉานจะให้คนรถกดเข้าเครื่องนายเดี๋ยวนี้
สองสามนาทีมือถือก็ดังขึ้น คนรถรีบแนะนำตัว บอกว่านายๆฉานรอรับนายอยู่แล้ว ฉันว่ารอที่ไหนล่ะ ทำไมไม่มาถือป้ายรอในที่ที่ควรรอ มาสายละสิอย่ามาอ้าง แขกว่า เปล่าๆฉานไม่ได้มาสาย แต่ฉานเข้าไปรอรับนายตรงนั้นไม่ได้ นายเดินออกมาตรงลานจอดรถได้ไหม ถึงตรงนี้ฉันไม่ฟังแล้ว ลมออกหูเป็นควันโขมง ทำไมมันสั่งให้ฉันเดินไปหามันแทนที่มันจะมารับฉัน ตะโกนกรอกไปว่า “ไม่เดิน! ขี้เกียจหา ฟังไม่รู้เรื่องว่าจะให้ไปตรงไหน และฉันไม่มีวันจะลากกระเป๋าเดินทางทุกลักทุเลไปบนพื้นถนนเฉอะแฉะข้างนอก ชั้นจะยืนรออยู่ตรงนี้ ที่ที่แกควรต้องมารับชั้น แกต้องมาหิ้วกระเป๋าฉันออกไปเดี๋ยวนี้!”
เสียงแขกตกใจกลัวมาก ละล่ำละลักพูดอะไรไม่รู้เรื่องว่าทิ้งรถมาไม่ได้อะไรทำนองนี้ ฉันฟังอะไรไม่รู้เรื่องทั้งสิ้น ลมโมโหมันอุดหู ประสาทกลับนึกไปถึงประชุมที่รออยู่ เสียเวลาไปจะยี่สิบนาทีกับความไม่มีประสิทธิภาพ โกรธสุดๆ ตะโกนไปอีกรอบว่า “แกเดินมารับชั้นที่นี่ตรงที่ฉันยืนอยู่เดี๋ยยยยยวววววนี้” แล้ววางหูโครม
ไม่ถึงอึดใจ อาบังแก่ผอมเกร็งหลังค้อมผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลนในเสื้อกางเกงผ้าฝ้ายขาวตุ่นก็เดินกระย่องกระแย่งลุยพื้นแฉะๆเข้ามาหาฉัน ก้มตัวให้หลังที่คุ้มอยู่แล้วต่ำลงไปอีก ถามว่า นี่นายใช่ไหม มาๆฉานหิ้วกระเป๋านายให้ นายตามมา รถฉานจอดทิ้งอยู่ตรงโน้นหลังรถบัสที่เขาห้ามจอด แต่ฉานบอกนายสถานีว่าฉานขอจอดมารับนายแป๊บเดียว เขาไม่ยอมแต่ฉานไม่สน ทิ้งมาหานายเลย ฉันเดินตามอย่างใจร้อนสุดๆ ทำไมไม่จอดดีๆ เดี๋ยวมีเรื่องให้สายเข้าไปอีก พอเดินมาถึงรถจึงเห็นว่าลานจอดรถมีการก่อสร้าง ปิดทางเข้าออกมั่วเละไปหมด ทางเดินรถทางไหนอะไรยังไงวุ่นโกลาหลตุงนัง อีตาคนรถเลยเอารถเข้าไปจอดไม่ได้ เขาพยายามจะบอกทางโทรศัพท์ให้ฉันเดินออกมาตรงที่เขาลอยรถอยู่จะได้แหวกหลบรถอื่นที่ติดกันพันตูออกไปเลย แต่ฉันก็วีนซะ เขาเลยตัดสินใจเสี่ยงทิ้งรถเดินมารับฉัน บังรีบเปิดรถให้และเอากระเป๋าใส่ท้าย ล่กๆรีบๆจะเอารถออกเพราะแขกที่จัดจราจรก็ปรี่เข้ามาไล่ โวยวายโกลาหลอื้ออึง โอ๊ยเวียนหัวประสาทจะกลับ
อาบังเข้าเกียร์กระชากรถออกอย่างงกๆเงิ่นๆ ฉันทุรนทุรายกับความไม่คล่องตัวของบังมาก ท่าทางไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรเลย แก่กว่าคนขับรถที่เคยมารับทั่วๆไป ผิดมาตรฐานกว่าปกติ ชักกังวลใจว่าอีจะไม่รู้ว่าจะต้องพาไปที่ไหน ซึ่งปกติคนรถจะรู้จุดหมายของเราดี ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แขกผู้จัดการบริษัทรถที่พูดด้วยเมื่อกี้นั่นเอง เสียงสุภาพสุขุมถามมา “แมมๆพบคนรถหรือยัง” ฉันว่าพบแล้ว ตอนนี้นั่งอยู่บนรถแล้ว แต่กว่าจะเจอทุลักทุเลมาก ฉันไม่พอใจกับบริการของเธอนะ เพราะคนรถเธอโทรมาสั่งให้ฉันเดินออกไปที่รถแทนที่จะมารับและหิ้วกระป๋าให้ฉัน ถึงสุดท้ายจะยอมเดินมารับก็เถอะ มันทำให้ฉันเสียเวลามาก นี่ท่าทางจะไปประชุมสายแน่ๆแล้ว เธอรู้ใช่ไหมว่างานฉันเสียหาย แล้วนี่คนรถเธอสภาพท่าทางผิดมาตรฐานกว่าปกติ เงอะๆงะ จะพาฉันไปถูกที่ไหม เธอมีหน้าที่ต้องรู้จุดหมายที่ถูกต้องของฉันนะ เขาว่ารู้ๆเรารู้จุดหมายนาย คนรถก็รู้ แต่จะย้ำให้ ขอพูดด้วย ฉันเลยส่งโทรศัพท์ให้แขกพูดกันเอง จะพูดอะไรฉันไม่รู้ คาดหวังอย่างเดียวว่าต้องได้รับการบริการที่สมคุณภาพเพราะเราคือลูกค้ารายใหญ่ ฉันไม่ลังเลที่จะพูดดังๆให้คนรถได้ยินเลยที่ฉันพูดถึงตัวเขาให้ผู้จัดการฟัง จะได้รู้ว่าฉันคิดอย่างไร ฉันรับโทรศัพท์คืนมาแล้วย้ำกับแขกผู้จัดการไปอีกว่า คุณภาพบริการครั้งนี้น่าผิดหวังมาก ฉันจะให้เลขาทำรายงานประเมินไป ระวังให้ดี
วางหูแล้วฉันยังไม่ไว้ใจ ถามคนรถไปว่า “นี่ๆบังรู้ไหมว่าต้องพาฉันไปประชุมที่ไหน อย่าไปผิดที่นะ” เขาว่ารู้เมื่อกี้นายย้ำอีกทีแล้ว แต่ฉันยังไม่วางใจ ควักเอาใบที่เลขาพิมพ์ให้ออกมายื่นไป “นี่ดูที่อยู่บนนี้ ไปให้ถูกที่นะ” บังเงอะๆงะๆรับกระดาษไป ยกขึ้นมองทำตาหยีๆ แล้วเอามือหนึ่งประคองพวกมาลัย มือหนึ่งควานหาอะไรข้างเกียร์ ในที่สุดก็ยกแว่นที่ควานเจอขึ้นมาด้วยมือที่สั่นระริกเข้าใส่บนหน้า เขาใส่ไม่ตรงต้องขยับอยู่หลายทีกว่าจะเข้า ฉันเห็นจากด้านหลังว่าแว่นข้างหนึ่งร้าวเป็นรอยแตกยาว ตายแล้วทำไมแว่นสภาพน่าอนาถอย่างนั้น อะไรบางอย่างเข้ามาสะกิดใจให้ประสาทสัมผัสตื่นฟื้นจากอารมณ์โกรธและเริ่มทำงานสังเกตสิ่งรอบข้าง อาบังคนนี้อายุแก่มากแล้วท่าทางไม่ค่อยแข็งแรงด้วย มือสั่นๆนี่สงสัยจะเป็นพาร์กินสันอ่อนๆ สายตาก็เหมือนไม่ดีแต่แว่นแกก็โทรมเสียจนไม่แน่ใจว่ากำลังขยายจะตรงกับสายตาหรือเปล่า สภาพเสื้อผ้าคงดีที่สุดที่แกมีแต่ก็เห็นได้ว่าเก่าปอนมากๆ ที่สำคัญ ตอนนี้แกแลดูลนๆกลัวๆฉันเอามากๆ มือที่สั่นน้อยๆเหมือนจะสั่นมากขึ้นจนยากที่จะประคองพวงมาลัยไว้ได้ แต่แกก็พยายามที่จะครองสติไว้อย่างที่สุด ฉันเหลือบไปเห็นใบประเมินคุณภาพการบริการที่เหน็บอยู่หลังเบาะหน้าเพื่อให้ลูกค้ากรอกความเห็นหลังบริการอันเป็นปกติของบริษัทรถทั้งหลายที่นี่ สติเริ่มกลับมาประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตายแล้วอีตาลุงบังนี่คงกำลังกลัวฉันประเมินให้สอบตกจนลนลานทำอะไรไม่ถูก ไม้ต้องกลัวหรอก ฉันโวยกับผู้จัดการไปแล้วอย่างที่บังได้ยินเต็มสองหู ฉันอาละวาดไปแล้วไม่เหลือซาก แล้วนี่ที่เขาพูดโทรศัพท์กันผู้จัดการจะด่าว่าตาลุงนี้อะไรไปบ้างแล้วฉันก็ไม่รู้ได้ จะคาดโทษไปแล้วหรือยังไม่รู้ หรือว่า…หรือว่าขู่จะไล่ออกไปแล้ว…..
ความตกใจวิ่งเข้ามาจับหัวใจฉันจนหนาว ตกใจว่าตัวเองทำอะไรลงไป ฉันมัวแต่มุ่งแต่เรื่องคุณภาพบริการว่าบริษัทเราจ่ายเงินจ้างบริษัทรถตั้งเยอะแต่กลับได้ของไม่มีคุณภาพ ฉันมุ่งแต่เรื่องความเสียหายของบริษัท ว่าเสียเงินไม่คุ้ม และยังจะมาเสียงานเพราะฉันไปประชุมไม่ทันอีก จริงอยู่ฉันถูกด้วยมุมมองของ”ลูกค้าคือพระเจ้า” แต่ด้วยมุมมองของมนุษยธรรมล่ะ นี่ถ้าลุงบังนี่ถูกไล่ออกเพราะฉันจะเกิดอะไรขึ้น เขามีเมียมีลูกต้องเลี้ยงกี่คนไม่รู้ แล้วที่ดูไม่แข็งแรงกระเสาะกระแสะจะเอาเงินที่ไหนไปหาหมอ ที่สำคัญถ้าเขาเสียงานนี้เขาไม่น่าจะหางานใหม่ได้ง่ายๆ สภาพอย่างนี้ใครจะมาจ้าง ฉันใจหายด้วยความสงสารจนความโกรธหายไปหมดสิ้น กลายเป็นความเศร้าและเวทนาจนอยู่ดีๆฉันก็ปล่อยโฮออกมา สงสารลุงจนจับใจ ร้องไห้ฮักๆจนตัวโยน ไม่ไหวแล้ว ทำไม่ฉันใจร้ายอย่างนี้ ทำไมโกรธจนไม่พิจารณาอะไรให้รอบคอบ ทำไมจิตใจถึงคิดแต่หลักการทางธุรกิจ ทำไม่ไม่คิดถึงคุณธรรมและมนุษยธรรม บางทีความถูกต้องมันก็วัดที่มาตรฐานทางการค้าอย่างเดียวไม่ได้ ยิ่งเห็นผลแห่งการกระทำของตัวเองที่ทำให้คนแก่น่าสงสารคนหนึ่งตัวสั่นงกๆยิ่งเสียใจ และสงสารแกมากขึ้นจนหยุดร้องไห้ไม่ได้
ปรากฎว่าลุงบังเห็นฉันร้องไห้ยิ่งตกใจไปใหญ่ มือไม้เข้าเกียร์ไม่ถูกยิ่งขึ้น แต่แกก็ไม่กล้าพูดอะไร ตัวสั่นประคองรถปุเลงๆต่อไปอย่างตระหนก ฉันเลยได้สติว่ายิ่งฉันร้องแกก็จะยิ่งตกใจว่าแกทำให้ฉันโกรธมากขึ้น ฉันเลยสูดหายใจรวบรวมสติสัมปชัญญะ ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์กลับไปยังผู้จัดการบริษัทรถที่คุยด้วยเมื่อกี้
“โหลๆ นี่ฉันโทรมาจะบอกว่า เมื่อกี้ที่ฉันโวยวายมาทั้งหมดขอให้สบายใจได้ ฉันไม่โกรธและไม่รายงาน สนามบินเขาก่อสร้างมันเลยขลุกขลัก ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว และฉันอยากเน้นว่า ลุงคนขับรถนี่แกได้พยายามช่วยเหลือและทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว แกตั้งใจบริการมากและไม่ได้ทำอะไรผิด ขอให้ผู้จัดการเข้าใจชัดเจนว่าเขาปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดี และฉันไม่โกรธหรือจะเอาความอะไร ให้ผู้จัดการอย่าไปตำหนิเขาเด็ดขาด และอย่าไปบันทึกว่าเขาบกพร่อง จงรับปากฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าเข้าใจและตกลงตามนี้” อาบังผู้จัดการตอบรับมาด้วยเสียงประหลาดใจสุดๆแต่ก็เต็มไปด้วยความยินดี ฉันมั่นใจว่าลุงแกจะไม่โดนเล่นงานแล้วจึงวางหู
ลุงได้ยินที่ฉันพูดกับผู้จัดการแล้วอย่างชัดเจนก็ลดความสั่นลงไปจนเป็นปกติ แต่ฉันนั่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกตลอดทาง สมองลืมเรื่องงานเสียสนิท และปัญญามันเข้ามาสู่สมองเองว่า การประเมินคุณภาพของคนๆหนึ่งนั้น มันมีปัจจัยมากเกินกว่าข้อที่ให้กรอกในแบบฟอร์ม ถ้าฉันกรอกทุกข้อตามจริงในกระดาษนั้น ลุงแกก็สอบตกแน่ แต่ข้อที่ไม่มีให้ฉันกรอกที่ว่า สอบตกแล้วชีวิตลุงจะเป็นอย่างไรนี่สิ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันนึกรู้ได้ว่า ชีวิตนั้นมันประเมินกันไม่ได้ และไม้บรรทัดที่จะวัดนั้น บางทีมันก็ใช้ไม้ที่ตรงไม่ได้เหมือนกัน
ลุงบังพารถมาจอดหน้าที่หมายอย่างถูกต้องไม่หลงเลย แกกุลีกุจอลงมายกกระเป๋าออกมาวางให้ฉันอย่างดี ฉันไม่กลัวเสียเวลาอีกต่อไปแล้ว แทนที่จะวิ่งเข้าไปประชุมอย่างไม่รอช้าเหมือนปกติ ฉันกลับยืนนิ่งข้างกระเป๋านั้น จ้องหน้าลุงแล้วบอกว่า “ลุง ฉันขอบใจมากที่ขับรถให้ฉันวันนี้ ขอบคุณจริงๆ ลุงทำหน้าที่ได้ดีมากในการแก้ปัญหา หวังว่าลุงคงได้ยินที่ฉันพูดกับผู้จัดการแล้ว ขอให้ลุงสบายใจได้ ฉันขอโทษที่อารมณ์เสีย” แล้วฉันก็กำแบงค์หลายร้อยรูปียื่นใส่มือลุง (ซึ่งนับว่าเยอะมากสำหรับการขับรถไม่กี่ชั่วโมง)
ฉันเดินลากกระเป๋าช้าๆไปยังห้องประชุม น้ำตาไหลออกมาอีกจนต้องสะอื้น ลุงไม่ได้ถูกส่งมาให้ขับรถให้ฉันหรอก แต่แกถูกส่งมาสอนให้ฉันได้เรียนรู้บทเรียนเรื่องไม้บรรทัดแห่งความเป็นมนุษย์ และสอนว่าบางทีสิ่งที่เราซื้อมามันก็ประเมินค่าความคุ้มที่คุณภาพอย่างเดียวไม่ได้ แต่อยู่ที่มันสร้างคุณค่าทางใจอะไรให้กับเรามากกว่า
นี่คือครั้งที่สาม ที่อินเดียทำให้ฉันหลั่งน้ำตา
(เขียนไปร้องไห้ไปอีกแล้ว ขอจบเรื่องหลั่งน้ำตาในอินเดียแต่เพียงเท่านี้ดีกว่า)
อันนี้อ่านแล้ว ก็ร้องตามด้วย T_T เคยเป็นแบบนี้เหมือนกันครับ
Comments are closed.