อย่างที่บอกว่าฝรั่งเศสมีเมืองเล็กน่ารักอยู่เต็มไปหมดทั่วประเทศ  และไหนๆก็เล่าถึงเมืองแอซแถวเฟร้นช์ริเวียร่าไปแล้ว  ก็ขอแนะนำเมืองน่ารักอีกเมืองไม่ไกลจากริเวียร่าเลยแล้วกัน

เมือง Saint Paul de Vence จะว่าไปก็คล้ายกับแอซตรงที่ตั้งอยู่บนเขาหินทั้งลูกเหมือนกัน  และเป็นเมืองเก่าจากยุคกลางเช่นกัน  ขนาดก็พอๆกัน  ต่างกันตรงที่ว่า  รถเข้าถึงได่ง่ายกว่า  และมีร้านอาหารคาเฟ่มากมายเต็มไปหมด  แต่ละร้านน่านั่งทั้งนั้น  ทำให้เที่ยวชมได้แบบช้าๆละเลียดนั่งจิบกาแฟหรือไวน์ไปชมเมืองชมคนไปอย่างสบายๆกว่าแอซซึ่งมีร้านอาหารในหมู่บ้านไม่กี่แห่ง

อันที่จริงการที่เมืองโบราณเหล่านี้ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงทั้งลูกเหมือนๆกันไม่แปลก  เพราะเมืองที่ตั้งอยู่สูงชันแบบนั้นจะมียุทธศาสตร์ที่ดีและปลอดภัยกว่า  เมืองซังก์ปอลเดอวองซ์นี้มีแนวป้อมกำแพงเมืองล้อมรอบทั้งเมืองที่เห็นได้ชัด  และยังมีหอคอยตรวจการบนป้อมปราการที่สร้างในยุคกลางอยู่สองป้อมให้เห็น  นั่นก็เพราะเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในสมัยก่อน  แต่พอเข้าสมัยใหม่ซังก์ปอลเดอวองซ์กลับกลายมาเป็นเมืองที่บรรดาศิลปินชื่นชอบ  ไม่ว่าจะเป็นวงการภาพยนต์ (เพราะอยู่ไม่ไกลจากคานนส์)  หรือจิตรกรเอกของโลกหลายคนก็ล้วนแต่เคยมาพักผ่อนหาแรงบันดาลใจวาดรูป  หรือพักอยู่ที่นี่นานๆ  เช่นปิกาสโซ่ มาทิสส์ หรือชากาลล์

ซังก์ปอลเดอวองซ์มีขนาดเล็กเดินชมได้ทั่วใน 2-3 ชั่วโมง  ตรงทางเข้ามีจุดข้อมูลนักท่องเที่ยว  เข้าไปหยิบแผนที่แล้วเดินสำรวจเมืองได้เลย  เมืองเป็นรูปไข่ยาวๆ  มีถนนวนรอบที่ให้รถของผู้ที่อาศัยในเมืองแล่นเข้าไปได้  ส่วนตรงกลางมีถนนคนเดินสองสายขนานกันจากทางเข้าไปสุดที่ปลายอีกฝั่งซึ่งเป็นสุสาน  พอฉันศึกษาดูแผนที่เท่านั้นแหละก็ถึงกับร้องอุทานตาโตด้วยความตื่นเต้นสุดๆ  เพราะไปเที่ยวแบบชิลล์ๆไม่ได้ศึกษาข้อมูลไปก่อน  จึงไม่รู้ว่าศิลปินคนที่โปรดปรานอันดับหนึ่งในดวงใจ  Marc Chagall นอนหลับอยู่อย่างนิรันดร์ที่สุสานของเมืองนี้  ชากาลล์พักอยู่ที่ซังก์ปอลเดอวองซ์นี่ถึง 20 ปีก่อนเสียชีวิต  นี่คือบ้านแห่งสุดท้ายของเขา

แทนที่จะเดินชมเมืองไปเรื่อยๆตามถนนคนเดินฉันจึงรุดเดินเลียบปราการกำแพงเมืองทะลุเมืองไปสุสานก่อน  เพื่อคารวะหลุมศพของชากาลล์  หลุมศพของเขาเรียบง่ายไม่ต่างจากหลุมอื่น  แต่มีก้อนหินที่แฟนๆเขาเขียนคำไว้อาลัยวางไว้บนแท่นหินเหนือหลุมศพมากมาย  จะพลาดได้อย่างไร  ฉันก็ต้องหยิบก้อนหินมาเขียนคำสดุดีส่วนตัววางไว้เหมือนกัน  นี่คือศิลปินคนที่ฉันชอบสไตล์ของเขามากที่สุดจริงๆ  ทั้งรูปแบบ สีสัน และสิ่งที่เขาเลือกวาด  แถมมาพบบ้านสุดท้ายของเขาอย่างไม่คาดคิดอีก  ดีใจและซึ้งใจมากๆ

จากนั้นจึงได้เดินสำรวจเมืองแบบตั้งอกตั้งใจ  เดินย้อนกลับมาบนถนนคนเดิน Rue Grande ที่สองฝั่งมีร้านค้าน่ารักๆ  เมืองเล็กแถวนี้ดีอย่าง  ถึงจะเต็มไปด้วยร้านค้าแต่ก็ไม่ได้มีแต่ของที่ระลึกไก่กาที่ส่งมาจากเมืองจีน  ร้านค้าจะเป็นของท้องถิ่นจริงๆ  เช่นร้านขายน้ำผึ้งสารพัดรส ร้านขายลาเวนเดอร์ ร้านขายของกระจุกกระจิกทำมือ ร้านไวน์ และแกลเลอรี่รูป  ตึกเก่าแบบฝรั่งเศสก็สวยน่ารักน่าถ่ายรูปไปเสียทุกสามก้าว (จริงๆ  นับเอาไว้)  ทำให้ต้องเดินไปถ่ายรูปไปมากกว่าจะเข้าไปดูของในร้าน  บ้านหลายหลังมีความสำคัญเพราะเคยเป็นที่อยู่ของศิลปินหรือคนสำคัญในอดีต  และบางหลังก็มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามเป็นพิเศษ

ตรงกลางเมืองเป็นลานเล็กๆที่เคยเป็นตลาดในสมัยก่อน  มีน้ำพุใหญ่เด่นสวยงาม  ชื่อลาน Place de la Grande Fontaine ก็แปลตรงตัวว่าลานน้ำพุใหญ่  ง่ายดี  ด้านหลังน้ำพุเป็นโถงมีหลังคาคลุมที่ชาวบ้านสมัยก่อนมาซักผ้ากัน  เห็นแล้วพอจินตนาการชีวิตสมัยนั้นได้เลย   เหนือน้ำพุเป็นระเบียงของร้านอาหารนั่งกินข้าวมองลงมา  บรรยากาศดีมาก  รอบๆลานก็มีร้านน่ารักมากมาย

เดินวกไปวนมาจนทั่วทั้งเมืองแล้วแต่เมืองก็น่ารักเสียจนไม่อยากจากมา  สมควรหาร้านอาหารบรรยากาศดีๆนั่งละเลียดต่อสักหน่อย  ในเมืองเก่าที่ร้านน่านั่งมากมาย  ใครถูกใจบรรยากาศแบบไหนเลือกเลยตามสบาย  แต่ร้านที่ขึ้นชื่อที่สุดอยู่นอกเมืองตรงประตูทางเข้าพอดี  ติดกับตลาดขายผักผลไม้สดเล็กๆน่ารัก  ที่ดูก็รู้ว่าในสมัยก่อนก็คงขายกันแบบนี้แหละ  ร้านนี้คือ  Colombe d’Or เป็นร้านอาหารในโรงแรมซึ่งมีประวัติสำคัญ  ร้านนี้เปิดมาจะร้อยปีแล้ว  เดิมเป็นแค่ร้านอาหารแต่ต่อมาต่อเติมเป็นโรงแรมด้วยห้องพักแค่ 4 ห้องในยุคที่จิตรกรดังๆเริ่มนิยมมาซังก์ปอลเดอวองซ์กัน  ทุกคนไม่ว่าจะเป็นปิกาสโซ่ มาทิสส์ ชากาลล์ และอื่นๆอีกมากมายต้องมาพักที่นี่จนเจ้าของสนิทด้วยทุกคน  เขาเอาภาพวาดของศิลปินเหล่านี้ติดในโรงแรมและห้องอาหารเต็มกำแพง  จนไม่นานก็ได้ชื่อว่าเป็น “โรงแรมพิพิธภัณฑ์”  ทุกวันนี้ร้านอาหารมีที่นั่งในสวนของโรงแรม  ร่มรื่นน่าสบายและบรรยากาศดีมากๆ

จากนั้นมีที่น่าชมอีกสองแห่งนอกกำแพงเมืองที่เดินเล่นต่อได้ถึงกันในบรรยากาศแบบเมืองเล็กในโพรวองซ์  ที่แรกคือโบสถ์ Chapelle Notre-Dame de la Gardette เก่าย้อนไปในศตวรรษที่ 15  ความสำคัญของที่นี่สำหรับฉันก็คือที่นี่มีภาพวาดของมาร์ค ชากาลล์อยู่  ซึ่งเป็นภาพหญิงสาวและชายหนุ่มมาตั้งโต๊ะอาหารทานอาหารกับพร้อมวิวเมืองเก่า  สีแดงจัดตัดกับฟ้าเข้มเหมือนสีของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  หนุ่มสาวในภาพยืนตระกองกันข้างๆนกยักษ์เหมือนขี่นกมาเลย ภาพพวกนี้ทิ้งไว้จินตนาการใครจินตนาการมัน  ที่แน่ๆเป็นอีกหนึ่งภาพของชากาลล์ที่ฉันชอบ

สุดท้ายที่เป็นเหตุผลที่ชวนให้ใครๆอยากมาเยือนซังก์ปอลเดอวองซ์คือ Foundation Maeght สถานที่แสดงงานศิลปะร่วมสมัยที่ถือว่ามีชิ้นงานศิลป์ในยุคศตวรรษที่ 20 ที่มากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป  ห้องแสดงงานศิลป์นี้เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจกันของศิลปินหลายคนที่ผูกพันกับเมืองนี้  ชากาลล์ มีโร เจียโคเม็ตติ และอื่นๆล้วนมาช่วยกันออกแบบ  ตัวอาคารก็สวยงามน่าสนใจเพราะผู้เริ่มสร้างคนหนึ่งเป็นสถาปนิกจากสเปน  ฉันตั้งในอยากไปชมห้องศิลป์อันเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองเก่าแต่เต็มไปด้วยกลิ่นอวลของงานศิลป์สมัยใหม่แห่งนี้  แต่เกิดเหตุเวลาไม่พอจำต้องไปธุระต่อ  น่าเสียดายที่สุด  งานของชากาลล์หลายชิ้นก็อยู่ที่นี่ (แน่ละ เขาเป็นพลเมืองที่สำคัญที่สุดของเมืองไปแล้วนี่)  ตั้งใจว่าจะต้องกลับมาแน่ๆ  แล้วจะมาเล่าต่อภาค 2 ละกันนะคะ

3 COMMENTS

  1. อ่านจบ รีบไปเสิร์ชกูเกิ้ลหางานของ Marc Chagall ดูรัวๆเลยครับ

    • ถ้ามาซูริคจะพาไปชมงาน Stain glass ของเค้าค่า เป็นงานที่เค้ามาทำตอนหลังแล้ว ออกมาเหมือนภาพวาดเค้าเลย ไม่เหมือน stain glass ทั่วไป

Comments are closed.