เคยมีคนถามฉันว่า ไปเที่ยวมาก็หลายสิบประเทศแล้ว ชอบที่ไหนมากที่สุด ฉันพบว่าเป็นคำถามที่ตอบได้ยากมาก เพราะแต่ละที่ที่ไป ไม่สามารถตัดสินได้ด้วยสถานที่แต่เพียงอย่างเดียว หากต้องนับรวมถึงกิจกรรมและประสบการณ์ทั้งหมดเข้าด้วย อลาสก้าเป็นหนึ่งในตัวอย่างของคำอธิบายที่ดี เพราะถึงจะจริงอยู่ที่ว่าอลาสก้ามีวิวสวยงามมหัศจรรย์ไม่เหมือนที่ใด แต่ที่ทำให้อลาสก้าเป็นหนึ่งในสถานที่ประทับใจอันดับต้นๆของฉันคือ ประสบการณ์และกิจกรรมหลายอย่างที่หาไม่ได้จากที่อื่นต่างหาก
กิจกรรมที่ใฝ่ฝันถึงมานานอย่างหนึ่งของฉันคือ Dog Sledding หรือการนั่งเลื่อนไปบนภูเขาหิมะที่ลากโดยฝูงสุนัขพันธุ์ฮัสกี้ หมายมั่นปั้นมือไว้นานแล้วว่า เมื่อไปอลาสก้าจะพลาดไม่ได้ ฟังแล้วอาจจะดูเหมือนไปยากติดต่อยาก จะลำบากลำบนขนาดไหนกว่าจะไปถึง แต่ถึงแม้ฉันจะเป็นนักเดินทางประเภทเก็บเกี่ยวประสบการณ์แปลก ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะยอมตกระกำลำบาก เรื่องความสะดวกสบายต้องมาด้วยกัน ดังนั้นการไปอลาสก้าของฉันจึงมาในรูปแบบที่สบายที่สุด และได้เห็นอลาสก้าแบบหมดจด พร้อมทั้งทำฝันในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ๆรวมทั้ง Dog Sledding ให้เป็นจริงได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ด้วยการล่องครูซเรือสำราญขนาดยักษ์ 7 วันตะลุยครบทุกเมืองสำคัญของอลาสก้า
ฉันเคยล่องเรือสำราญจนติดใจมาก่อนแล้ว และได้ศึกษาเส้นทางครูซของบริษัทต่างๆมาตลอด ขอรับประกันว่า เส้นทางครูซที่ควรเลือกที่สุดคืออลาสก้า เพราะการชมอลาสก้าที่ดีที่สุดก็คือโดยการครูซนั่นเอง อย่างที่รู้กันอยู่ว่าอลาสก้าเป็นเมืองหนาวที่เต็มไปด้วยหิมะ พื้นที่ส่วนมากหนาวเกินกว่าจะอาศัยอยู่ได้ และมีเมืองหลายเมืองที่ผู้คนจะอาศัยอยู่เพียงในฤดูร้อนเท่านั้น เมืองหลักๆของอลาสก้าจึงอยู่ริมน้ำซึ่งมีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่าน และการเดินทางระหว่างเมืองเหล่านี้ค่อนข้างลำบาก นี่เองทำให้การเที่ยวชมอลาสก้าให้ครบทุกเมืองโดยที่สะดวกที่สุดจึงเป็นโดยการล่องเรือครูซ เพราะในระหว่างที่เรือล่องไประหว่างเมืองนั้น เราก็จะได้พักอย่างอบอุ่นสบายบนเรือ พอถึงแต่ละเมือง เรือก็จะจอดตรงกลางเมืองให้เราเดินออกไปเที่ยวชมเมืองได้อย่างสบายๆ หรือหากจะออกไปเที่ยวทำกิจกรรมต่างๆในบริเวณใกล้เมือง ก็สามารถซื้อทัวร์บนเรือไปได้ง่ายดาย นับว่าเป็นการผจญภัยแบบสบายสุดๆ
เส้นทางล่องเรือชมอลาสก้าเองก็มีหลายแบบให้เลือก ขอรับประกันอีกเช่นกันว่า เส้นทางที่ดีที่สุด โดยเฉพาะหากบินตรงจากประเทศไทย คือเส้นทางล่องขึ้นเหนือ 7 วัน โดยเริ่มจากแวนคูเวอร์ไปจบที่แองเคอเรจ (Anchorage) เพราะว่าในช่วงสองวันแรกที่ยังเจ็ทแลกอยู่นั้น จะได้นอนพักเต็มที่บนเรือโดยไม่เสียโอกาสเที่ยว เนื่องจากเรือจะล่องขึ้นเหนือผ่านช่องแคบระหว่างแคนาดาและเกาะแวนคูเวอร์โดยยังไม่จอดเพราะไม่มีอะไรให้ดูมาก พอหายเจ็ทแลกเรือก็จะล่องมาถึง Inside Passage ซึ่งมีวิวที่สวยงามพอดี และจะเริ่มได้จอดยังเมืองต่างๆ และตอนไปจบทริปที่แองเคอเรจหากจะเที่ยวต่อหรือไปเม้าท์แมคคินลีย์ก็จะฟิตพอดี นอกจากนี้ครูซขาเดียว 7 วันยังดีกว่าสองขาเพราะได้เห็นอลาสก้าครบทุกเมืองหลัก และไม่ต้องล่องทับเส้นทางเดิม
ตามเส้นทางนี้เมืองที่เรือจะจอดมีสามเมือง คือ Ketchikan Juneau และ Skagway แต่ละเมืองก็จะมีเสน่ห์ของตัว แม้จะไม่ต่างกันมาก ก็ควรจะเที่ยวชมเมืองและจุดสำคัญให้ครบทุกเมือง ส่วนกิจกรรมยอดนิยมของอลาสก้าอย่างเช่นนั่งเรือชมปลาวาฬ ชมศูนย์วัฒนธรรมชาวอินเดียนแดง ชม Hatchery ที่เพาะเลี้ยงปลาซาลมอน พายเรือคายัก ตกปลา หรือชมเหมืองทองนั้นมีให้เลือกชมและเล่นทุกเมือง ดังนั้นจึงควรวางแผนให้ดีว่าที่เมืองไหนจะทำอะไรจะได้ครบและคุ้มทุกอย่าง กิจกรรมทุกอย่างนี้มีจัดเป็นโปรแกรมทัวร์ให้เลือกซื้อบนเรือ โดยมีแผนกทัวร์ให้ข้อมูลและจัดการให้ บางรายการนิยมมากก็จะเต็มเร็วจึงควรจองเนิ่นๆ จะได้บริหารเวลาให้เที่ยวได้ทั่วทั้งเมืองที่แวะและกิจกรรมต่างๆ ทัวร์ทั้งหลายนี้ต้องจ่ายเงินเพิ่ม โดยจะเคลียร์เงินกันวันสุดท้ายรวมกับค่าใช้จ่ายต่างๆที่เราใช้เพิ่มเติมบนเรือ นับว่าสะดวกสบายมาก
เมืองแรกที่เราแวะคือ Ketchikan ซึ่งถือเป็น”เมืองแรก”ของอลาสก้าเนื่องจากเป็นเมืองแรกที่จะได้พบหากล่องเรือขึ้นมาจากทางใต้ Ketchikan ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆตรงสุดปลายทางเหนือของ Inside Passage เมื่อราวสักร้อยปีมาแล้วสมัยยุคตื่นทองอลาสก้า ที่Ketchikan ได้มีอุตสาหกรรมสำคัญเกิดขึ้นคือประมงและป่าไม้ ทำให้ที่นี่กลายเป็นเมืองใหญ่อันดับสี่ของรัฐอลาสก้า
ที่ Ketchikan นี้มีเสาอินเดียนแดงที่เก่าที่สุดในโลกรวบรวมให้ชมที่ Totem Heritage Center เสาที่สลักมาจากซุงทั้งต้นเป็นรูปหน้าคนบ้างนกอินทรีย์บ้างนี้ ว่ากันว่าในสมัยก่อนชาวอินเดียนแดงใช้ตั้งไว้เป็นสัญลักษณ์ของหลุมศพหน้าบ้าน ยิ่งเสาสวยงามเท่าไรก็แสดงถึงความสำคัญของผู้ตายเท่านั้น หากอยากชมวัฒนธรรมอินเดียนแดงให้หนำใจกว่านี้ ควรไปชมหมู่บ้านอินเดียนแดงที่ Tlingit หรือ Saxman Village ซึ่งยังมีอินเดียนแดงอาศัยอยู่จริงและจัดเป็นศูนย์อนุรักษ์ มีการแสดงแบบพื้นเมืองให้ชมและโชว์การแกะสลักเสา Totem ด้วย
มาเที่ยวอลาสก้าต้องเข้าใจว่าเป็นทัวร์ธรรมชาติ ถึงจะรักสะดวกสบายอย่างไรก็ต้องชมวิวและสัมผัสกับชีวิตธรรมชาติโดยเฉพาะสิ่งที่ไม่มีให้ชมในบ้านเรา เช่นนั่งเรือดูปลาวาฬ เข้าป่าไปแอบดูหมีจับปลาซาลมอนกิน ชมน้ำตก หรือธารน้ำแข็งและภูเขาหิมะ โดยเฉพาะ Fjord ซึ่งมีอยู่ในไม่กี่ประเทศในโลก ที่ Ketchikan นี้มี Misty Fjords National Monument ซึ่งไปชมได้โดยนั่ง Sea Plane หรือเครื่องบินที่จอดบนน้ำได้ นอกจากจะได้ชมวิวที่สวยแปลกตาแล้วยังได้ประสบการณ์ใหม่ๆจากการนั่ง Sea Plane อีกด้วย
ชมทั้งวัฒนธรรมและธรรมชาติครบแล้วยังเหลือเวลาให้เดินชมเล่นเมือง เพราะเรือจะจอดให้ลงเที่ยวสบายๆตั้งแต่เช้าจรดเย็น และจอดทอดสมอรออยู่ทั้งวัน จะขึ้นจะลงเรือเมื่อไรตามสบาย ทัวร์เช้าเสร็จกลับมากินอาหารกลางวันบนเรือ ไหนๆก็จ่ายค่าอาหารทุกมื้อรวมไปในค่าเรือแล้ว ค่อยออกไปทัวร์รอบบ่าย กลับมาเดินเล่นในเมืองบ่ายแก่ๆก่อนกลับขึ้นเรือตอนเย็น ในเมือง Ketchikan นี้เดินเล่นได้ทั่ว จากที่เรือจอดตรง Waterfront Promenade และ Front Street ก็มีร้านขายของที่ระลึกมากมาย เรื่อยไปจนถึงถนน Main Street ที่ขนานกัน เดินทะลุไป Footbridge ซึ่งเป็นสะพานข้ามลำธารเล็กๆ เป็นมุมถ่ายรูปได้ดีเพราะเป็นทางเข้าสู่ Creek Street ซึ่งพลาดไม่ได้เพราะน่ารักมาก มีบ้านและร้านค้าเล็กๆแบบเก่าเรียงรายรวมกันอยู่ตลอดแนวลำธาร เหมือนบ้านตุ๊กตาสีสันสดใสน่ารักมาก ไม่น่าเชื่อว่าเดิมทีเมื่อร้อยปีมาแล้ว Creek Street คือย่านไฟแดงของ Ketchikan ที่มีสถานบริการรวมอยู่กว่า 30 แห่งทีเดียว ที่ดังที่สุดก็คือ Dolly’s House ซึ่งปัจจุบันยังเก็บรักษาไว้ในสภาพเดิมๆทั้งการตกแต่งและของตกแต่ง สามารถซื้อทัวร์เข้าไปชมได้ เมื่อกฏหมายห้ามค้าประเวณีออกมาเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว สถานบริการเหล่านี้จึงกลายมาเป็นบ้านพักอาศัยและร้านค้า ตึก Star Building บ้านเลขที่ 5 ปัจจุบันเป็นตึกที่ขึ้นทะเบียนอนุรักษ์ของอเมริกาไปแล้ว
เมืองถัดไปที่เรือจอดคือ Juneau เมืองนี้ใหญ่และคึกคักกว่า Ketchikan ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะ Juneau เป็นเมืองหลวงของอลาสก้าในปัจจุบัน จึงมีหน่วยงานของรัฐตั้งอยู่ที่นี่ แต่อย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงดินแดนในเขตขั้วโลกเหนือ ที่เมืองส่วนมากจะมีพื้นที่กว้างใหญ่ หากแต่มีพลเมืองอาศัยนิดเดียว Juneau ก็เช่นกันที่แม้จะมีพื้นที่ใหญ่เป็นที่สามในโลก และเป็นถึงเมืองหลวงของรัฐ กลับมีพลเมืองอาศัยอยู่แค่ 30,000 คนเท่านั้นเอง
ชื่อของเมือง Juneau ได้มาจากชื่อของนาย โจ จูโนซึ่งได้มาตามล่าหาทองกับนายริชาร์ด แฮร์ริสเมื่อปี 1880 โดยมีชาวอินเดียนแดงพามา หลังจากลำบากลำบนปีนเขาลุยน้ำลุยหิมะหนาวยะเยือกก็ได้พบสายแร่ทองที่นี่ ซึ่งการค้นพบนี้คือการพบเหมืองทองถึงสามแห่งที่จัดอยู่ในอันดับที่ใหญ่ที่สุดในโลกทีเดียว รวมแล้วได้มีทองถูกขุดออกไปเป็นมูลค่าถึง 150 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่เหมืองจะถูกปิดไป
ทัวร์หนึ่งที่ไม่น่าพลาดที่ Juneau จึงคือทัวร์เหมืองทองเก่า ซึ่งนอกจากได้เดินชมเหมืองทองจริงๆที่เป็นอุโมงค์อยู่ใต้ดินและได้ชมว่าชาวเหมืองเคยใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไรแล้ว ยังได้ร่อนทองจากดินในเหมืองจริงๆด้วย หากร่อนเจอทองก็เก็บเป็นที่ระลึกได้ ซึ่งเขาก็รับประกันว่าเจอทองแน่ๆเสียด้วย ส่วนจะขนาดเท่าขี้ตาแมวแค่ไหนไม่รู้
อีกแห่งที่พลาดไม่ได้ที่ Juneau คือธารน้ำแข็ง Mendenhall Glacier ซึ่งสวยงามมากด้วยความกว้างถึงหนึ่งไมล์ครึ่ง ครอบคลุมด้วยผืนน้ำแข็งถึง 1,500 ตารางไมล์ และลึกเป็นร้อยฟุต นับเป็นธารน้ำแข็งที่แล่นรถเข้าไปชมได้ถึงที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ถ้าหากนั่งรถไปดูยังไม่สะใจ จะซื้อทัวร์ขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินขึ้นไปดูใกล้ๆให้เห็นกันจะๆเลยก็ได้ ซึ่งบางทัวร์จะได้ลงไปเดินบนลานน้ำแข็งขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาด้วย หรือจะบินไปดูธารน้ำแข็งอื่นๆที่ถนนไปไม่ถึงอีกด้วยเช่น Hole-in-the-Wall Glacier, Taku Glacier, Norris Glacier และหากยังไม่สะใจพอ ยังมีทัวร์ที่บินพาไปหยอดไว้บนธารน้ำแข็งแล้วให้ปีนไต่เขาน้ำแข็งขึ้นไปเหมือนปีนเขาเอเวอร์เรสต์เลย
สำหรับคนที่นิยมที่ลุ่มมากกว่าที่สูงแนะนำให้ไปนั่งเรือล่องชมปลาวาฬออร์ก้า ปลาวาฬฮัมพ์แบค แมวน้ำและสัตว์ป่าอื่นๆที่อาจจะเห็นเช่นโลมา กวางและหมี หากไม่เห็นปลาวาฬทัวร์มีการรับประกันคืนเงิน ถ้าโชคดีมีโอกาสได้ยินเสียงปลาวาฬร้องเพลงจากไมโครโฟนที่ติดไว้ใต้น้ำด้วย ขอบอกว่าเสียงปลาวาฬร้องนี้เพราะมากๆ และหากนั่งเรือชมยังไม่ใกล้ชิดพอก็สามารถซื้อทัวร์พายคายัคหรือคานูพายเข้าไปดูแบบเงียบๆกลางน้ำได้อีก
อย่างที่บอกว่า Juneau เป็นเมืองหลวง ใจกลางเมืองจึงเต็มไปด้วยร้านรวงที่มากมายและตื่นตาตื่นใจกว่า Ketchikan แต่เมืองก็ยังคงกลิ่นอายอินเดียนแดงและความเป็นเมืองเล็กๆอยู่ สามารถเดินเที่ยวเล่นได้ทั่วภายในเวลาที่เรือจอด หากอยากเห็นวิว Juneau จากมุมสูง ที่ใจกลางเมืองมีกระเช้าให้ขึ้นไปชมเมืองและ Inside Passage ที่ยอด Mount Roberts สูง 1,800 ฟุต กระเช้านี้ออกทุกสิบนาที หากเดินชมเมืองจนทั่วแล้วยังมีเวลาเหลือก่อนเรือออกก็น่าขึ้นไปถ่ายรูปสวยๆเก็บไว้
คนรักธรรมชาติมาเที่ยวอลาสก้าจะต้องมีความสุขมาก เพราะนอกจากวิวทิวทัศน์จะต่างไปจากที่เราชินตาแล้ว พันธุ์ไม้ก็แปลกและสัตว์ต่างๆยังเป็นสัตว์ป่าหาดูยากที่มีให้เห็นง่ายๆทั่วๆไปอีกด้วย อย่างจูโนแม้จะเป็นเมืองหลวง ก็ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวน คือ Tongass National Forest ซึ่งเป็น Temperate Rainforest ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ กินพื้นที่ถึง 17 ล้านเอเคอร์ ต้นไม้ส่วนมากเป็นสน Sitka Spruce ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำรัฐอลาสก้า บางต้นนั้นมีอายุถึง 700 ปี ส่วนสัตว์ป่าต่างๆนั้นก็มีให้เห็นทั่วไป อย่างนกอินทรีย์ Bald Head Eagle ที่หาดูยาก หากมองไปที่ยอดไม้สังเกตหาสีขาวๆให้ดี อาจเห็นได้ง่ายๆ หรือให้ตื่นเต้นกว่านั้น เมื่อหลายปีก่อนยามดึกใจกลางจูโนมีหมีตัวเบ้อเริ่มเดินเข้ามาค้นขยะของบาร์ที่ปิดแล้วหาของกิน แถมมีคนถ่ายรูปไว้ได้ด้วย
เมืองต่อมาที่ยิ่งอยู่เหนือขึ้นและยิ่งหนาวขึ้นคือ Skagway ซึ่งนับเป็นปากทางเข้าสู่เหมืองทองทั้งในอลาสก้าและยูคอน แคนาดาในยุคตื่นทอง เพราะเส้นทางจาก Skagway เป็นทางที่สั้นที่สุดสู่ Klondike แต่นับเป็นทางที่โหดมากเพราะต้องปีนป่าเขาที่ชันและหนาว นักขุดทองหลายคนไม่สามารถไปถึงขุมทองและต้องเสียชีวิตในระหว่างทาง หากยุคทองก็ทำให้ Skagway กลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของอลาสก้าในปี 1898 ด้วยประชากรราว 20,000 คน มีทั้งโรงแรมโรงระบำ โรงการพนัน ร้านอาหารมากมาย เมื่อหมดยุคทอง คนก็เริ่มย้ายออกไปจนปัจจุบันมีคนอาศัยอยู่แค่ 1,000 คนเท่านั้น แถมส่วนมากยังบินลงไปอยู่รัฐอื่นที่อบอุ่นกว่าเสียครึ่งปียามหน้าหนาวเสียด้วย ณ.วันนี้ Skagway จึงเป็นเมืองเล็กๆน่ารักที่เก็บลักษณะบ้านเรือนสมัยยุคตื่นทองอยู่ แลดูเหมือนเมืองที่สร้างโชว์ใน Theme Park ทั้งหลายในอเมริกาอย่างไรอย่างนั้น
เรือจอดที่ Skagway เต็มวันเช่นเคยให้เที่ยวได้เต็มที่ และในเมื่อ Skagway ในอดีตเป็นเมืองท่าสู่เหมืองทองใหญ่ ทัวร์ที่น่าสนใจจึงเป็นการย้อนรอยอดีตยุคตื่นทอง Klondike อันจะได้ขึ้นไปยอดเขา White Pass เที่ยว Liarsville ซึ่งเคยเป็นแคมป์พักระหว่างทางสู่เหมืองทอง และสามารถนั่งรถไฟต่อไปยัง Yukon ในแคนาดาซึ่งเป็นเส้นทางลัดเลาะไปตามยอดเขาสูงสามพันกว่าฟุตเหนือระดับน้ำทะเล เห็นหิมะขาวโพลนสวยงามมาก ส่วนกิจกรรมอื่นๆก็มีให้เลือกคล้ายเมืองอื่นๆที่ผ่านมาให้เก็บตก ไม่ว่าจะเป็นขี่จักรยาน ขี่ม้าชมธรรมชาติ ปีนเขา พายคายัค ตกปลา นั่งเฮลิคอปเตอร์ชมภูเขาน้ำแข็งจากมุมสูง แต่สำหรับฉัน นอกจากเดินเล่นชมเมืองที่น่ารักมากนี้แล้ว กิจกรรมที่ตั้งอกตั้งใจรอคอยมาตั้งแต่เริ่มวางแผนเที่ยวอลาสก้าคือสิ่งตื่นเต้นที่สุดที่จะเกิดขึ้นที่ Skagway ใช่แล้ว เราจะไป Dog Sledding กันนั่นเอง
กิจกรรม Dog Sledding หรือ Mushing นี้จะเป็นการให้สุนัขลากเลื่อนที่เรานั่งหรือยืนอยู่ไปตามลานหิมะบนยอดเขา เราจึงต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ขึ้นไปยังยอดเขาอันเป็นที่ตั้งของค่ายฝึกสุนัขสำหรับลากเลื่อนโดยเฉพาะ ในระหว่างทางนักบินจะพาเราวนชมทิวทัศน์ที่สวยงามของยอดเขาต่างๆ อันแลดูแปลกตาไปจากเขาหิมะอื่นๆ เพราะบางทีก็มีบ่อน้ำสีฟ้าจัดใสแจ๋วโผล่ขึ้นมาตรงกลางลานหิมะสีขาว เราไปกันหกคนในครอบครัวจึงเท่ากับเหมาลำเฮลิคอปเตอร์เป็นส่วนตัวไปเลย นักบินจึงบินวนและอธิบายให้เป็นพิเศษ กำลังถ่ายรูปชมวิวเพลินๆก็เห็นบ้านหลังจิ๋วๆเรียงกันเป็นระเบียบบนลานหิมะกว้างเมื่อฮ.โผล่พ้นเนินหิมะหนึ่งขึ้นมา พอบินยิ่งใกล้เข้าเรื่อยๆจึงพบว่ามันคือแคมป์สุนัขขนาดใหญ่ และบ้านจิ๋วที่เห็นนั่นคือบ้านของสุนัขแต่ละตัวนั่นเอง แคมป์นี้มีสุนัขอยู่สี่สิบกว่าตัวที่ทำงานได้ ไม่นับลูกสุนัขเกิดใหม่ที่ยังไม่ลืมตาอีกหลายตัวที่เราได้ไปอุ้มด้วย ขนาดของแคมป์และลานหิมะใหญ่มากๆ ไม่น่าเชื่อว่าเวลาเรามองวิวภูเขาที่กว้างโล่งสุดลูกหูลูกตา จะหลอกตาเราได้ขนาดนั้นว่ามันไม่ใหญ่เท่าไร คงเป็นเพราะเราชินอยู่กับในเมืองใหญ่ที่ถูกปิดล้อมไปด้วยตึกสูง ทัศนวิสัยจึงแคบจำกัด และตัดสินขนาดของสิ่งรอบตัวโดยเทียบกับสิ่งที่สร้างโดยมนุษย์ เมื่อมาพบกับความใหญ่โตของธรรมชาติจึงหลงคิดไปว่ามันคงไม่ใหญ่เท่าไร หารู้ไม่ว่าธรรมชาตินั้นใหญ่โตอลังการอย่างที่เราไม่อาจเทียบได้เลย
สุนัขที่ใช้ลากเลื่อนนี้ต้องฝึกโดยเฉพาะตั้งแต่เด็ก และนิยมใช้พันธุ์อลาสกันฮัสกี้ ซึ่งไม่ได้สวยเช้งตาสองสีเสมอไปอย่างไซบีเรียนฮัสกี้ที่เราชอบเลี้ยงกัน หมาพวกนี้มีหลายสีและไม่ได้แต่งสวยเพราะเป็นหมาใช้งาน ขนมันจึงยาวกระรุ่งกระริ่งแถมลีบๆเพราะเปียกหิมะ แต่ขอให้เป็นหมาเถอะอะไรก็น่ารักสำหรับฉัน และมันเป็นมิตรมาก เจ้านายของมันหรือ Musher คนนี้เป็นชาวฝรั่งเศสที่เกิดเบื่ออาชีพหมอในปารีส เลยทิ้งเมืองมาเริ่มเพาะสุนัขและฝึกเอาจริงเอาจังกับการแข่งสุนัขลากเลื่อน จนพิชิตและเป็นแชมป์มาแล้วมากมายทั้งที่ภูเขาแอลป์ รัสเซีย และเคยปีนเขาแมคคินลีย์ในฝั่งอลาสก้าที่สูงติดอันดับโลกกับทีมสุนัขของเขามาแล้ว
หลังจากที่เดินชมแคมป์บ้านหมาที่น่ารัก และทำความคุ้นเคยกับฝูงฮัสกี้ที่จะลากเลื่อนให้เราแล้ว ก็ถึงเวลาแห่งความสนุก เลื่อนหนึ่งอันจะลากได้สองคน หนึ่งคนยืนหนึ่งคนนั่ง บรรดาเจ้าฮัสกี้ทั้งหลายนี้พอรู้ว่าจะได้ลากเลื่อนก็ตื่นเต้นกันใหญ่ ทีแรกฉันก็นึกว่าเอาหมามาใช้งานจะทรมานมันไหมน้อ แต่ที่จริงมันกลับชอบออกกำลังแบบนี้ และแทบจะรอคำสั่งจากเจ้านายให้ลากเลื่อนออกไปไม่ไหว พอ Musher อธิบายวิธีบังคับเลื่อนให้เราฟังจบและถอนสมออกจากหิมะ เจ้าฮัสกี้ก็พุ่งตัวลากเลื่อนออกไปทันทีจนเราแทบหงายหลัง มันลากเลื่อนไปตามทางวนไปบนลานหิมะรอบๆแคมป์ Musher จะคอยสั่งให้มันเลี้ยวซ้ายขวาหรือหยุดให้เราถ่ายรูปกันบ้าง คำสั่งเหล่านี้เป็นคำสั่งเฉพาะของการ Mushing ฉันสนุกมากที่ได้วิ่งฉิวฝ่าลมหนาวเลื่อนไปบนหิมะ สูดอากาศบริสุทธิ์บนยอดเขาใกล้ท้องฟ้าสีครามสด ที่สำคัญไม่เหนื่อยเหมือนอย่างสกีหิมะเลย
นับเป็นประสบการณ์ฝันที่เป็นจริงอีกอย่างหนึ่งของฉัน
ออกจาก Skagway แล้วจุดหมายต่อไปที่เรือจะถึงในวันรุ่งขึ้น และถือว่าเป็นไฮไลท์ของอลาสก้าก็คือ Glacier Bay สถานที่ซึ่งมีสภาพเสมือนยุคน้ำแข็งดีๆนี่เอง ยุคน้ำแข็งจริงๆไม่ใช่การเปรียบเปรยเพราะภูมิทัศน์ที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง แต่ด้วยลักษณะทางธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่นักธรรมชาติวิทยาได้มาศึกษาแล้วลงความเห็นว่า ภูมิสภาพของ Glacier Bay นี้เหมือนยุค Little Ice Age เมื่อสี่พันปีในอดีต มีหลักฐานชัดเจนว่าเมื่อสองร้อยกว่าปีที่แล้ว Glacier Bay ยังไม่มีอยู่เลย เพราะผืนน้ำของ Glacier Bay ตั้งแต่ปากอ่าวตรง Icy Strait เข้าไปตอนนั้นเป็นภูเขาน้ำแข็งทั้งหมด ต่อมาน้ำแข็งเหล่านี้ได้ละลายทำให้เกิดเป็นผืนน้ำจากปากอ่าวลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนปัจจุบันไปสิ้นสุดเป็นทางตันที่ Grand Pacific Glacier ซึ่งเป็นเขตกั้นชายแดนระหว่างอลาสก้ากับแคนาดาพอดีเป๊ะ และเป็นจุดไฮไลท์ที่สุดของอลาสก้าครูซ ที่เรือจะไปจอดให้เราได้ชมวิวกันแบบเต็มๆนับชั่วโมง
Glacier Bay นี้มีธารน้ำแข็งอยู่ทั้งหมด 12 แห่ง ทั้งหมดเป็นธารน้ำแข็งที่เกิดจาก Tidewater ซึ่งเป็นลักษณะที่มีอยู่ไม่มากในโลก สิ่งที่น่าสนใจมากสำหรับฉันคือ หากดูแผนที่ของ Glacier Bay จะเห็นว่าความลึกของอ่าวจากปากอ่าวเข้ามาสู่ก้นอ่าวนั้นได้มีการระบุไว้ชัดเจนบนแผนที่ว่าเมื่อปีใดอ่าวลึกเท่าใด เช่นที่บอกว่าเมื่อปี 1750 นั้นยังไม่มีอ่าวเลยเพราะน้ำตอนนั้นเป็นน้ำแข็งหมด ไม่ถึงร้อยปีถัดมาราวปี 1860 อ่าวได้ลึกเข้ามาถึง 40 ไมล์ตรง Tlingit Point ซึ่งจนปัจจุบันทิวทัศน์ของภูเขารอบๆอ่าวจากที่เรือเราได้แล่นเข้าไปจนถึงจุดนี้ยังเป็นภูเขาสีเขียวอยู่ และบนเขาเขียวๆนี่เองที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายตื่นเต้นที่จะมาศึกษากันมากว่าก่อเกิดของสิ่งมีชีวิตในโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะจากพื้นที่ที่เสมือนยุคน้ำแข็งเพียงสองร้อยกว่าปีมาแล้วนั้น เมื่อน้ำแข็งละลาย ต้นไม้ก็ค่อยๆเกิดขึ้น จากพืชชั้นต่ำจนเต็มไปด้วยสนอย่างปัจจุบัน และจากที่ไม่มีสัตว์เลยก็ค่อยๆมีสัตว์เล็กๆมาอยู่ จนมีสัตว์ใหญ่ขึ้นอย่างแพะภูเขา นับว่าเป็นการจำลองวิวัฒนาการของโลกจากยุคน้ำแข็งจากสี่พันปีมาเหลือแค่สองร้อยปี จึงมีความหวังว่ามนุษย์จะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลกได้มากขึ้นจากการศึกษา Glacier Bay
และเมื่อเรือแล่นลึกเข้ามาในอ่าวขึ้นเรื่อยๆ สีเขียวของป่าไม้บนภูเขารอบๆก็เปลี่ยนมาเป็นขาวของหิมะและน้ำแข็ง ฟ้าใสกระจ่างค่อยๆถูกปกคลุมด้วยหมอกจางๆมากขึ้นทุกที ยิ่งทำให้บรรยากาศรอบๆตัวขาวสลัวและเย็นจัดขึ้น เหมือนกับว่าเรากำลังเดินทางฝ่าหมู่เมฆเข้าสู่สรวงสวรรค์ ในแผนที่บอกว่าจาก Tlingit Point มาจนถึง Reid Glacier ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งที่เห็นนั้น น้ำแข็งได้ละลายออกทำให้อ่าวเปิดลึกเข้ามาเพียงในเวลาแค่ยี่สิบปีเท่านั้นเอง ก่อนที่หมอกจะจางหายไป เราเริ่มเห็นก้อนน้ำแข็งลอยอยู่บนน้ำ เป็นสัญญาณว่าเราได้เข้ามาใกล้จุดหมายยิ่งขึ้นทุกที และในที่สุดหมอกจางนั้นก็แหวกตัวสลายดังเปิดม่านออก เรือได้มาถึงสุดก้นอ่าว ในแผนที่ระบุปีที่อ่าวได้เซาะเข้ามาจนถึงจุดนี้ว่า 2002 คือปัจจุบันนั่นเอง และเบื้องหน้าของเราคือสองธารน้ำแข็งที่ตั้งตระหง่านอยู่แทบจะติดกัน Grand Pacific Glacier และ Margerie Glacier ภาพของธารน้ำแข็งที่เห็นไม่เหมือนกับภาพใดๆที่ฉันเคยเห็นมาก่อนเลย ภูเขาสูงเสียดฟ้ารอบตัวยังคงปกคลุมไปด้วยป่าไม้แน่นเขียวจัด หากส่วนที่เป็นธารน้ำแข็งนั้น ดูราวกับเป็นสายน้ำตกขนาดมหึมาที่จู่ๆก็ถูกสาปให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็งในพริบตา ลักษณะน้ำแข็งยังแลดูราวรูปร่างของน้ำที่กำลังไหลอยู่ ไหลผ่านร่องลึกของสองซอกเขาลงสู่ผืนน้ำเบื้องหน้า Grand Pacific Glacier นั้นแลดูราวกับแผ่นน้ำตกยักษ์ที่ไหลเป็นชั้นลงมา จะแปลกก็ตรงที่ว่า นอกจากสายน้ำนั้นจะเป็นน้ำแข็งสีขาวโพลนดังหิมะแล้ว บางส่วนมีสีฟ้าเข้ม และบางส่วนก็สีดำสนิทเหมือนกับหิมะเปื้อนถ่าน
สาเหตุที่ธารน้ำแข็งบางส่วนเป็นสีฟ้าเข้มนั้นก็เพราะว่า เมื่อแสงตกกระทบมวลน้ำแข็งยักษ์นั้น แสงคลื่นยาวจะถูกดูดไปหมด เหลือแต่แสงคลื่นสั้นคือสีฟ้าที่ไม่ถูกดูดไป จึงสะท้อนกลับมาให้ตาเราเห็น ส่วนสีดำราวกับถ่านนั้นก็คือชิ้นส่วนของดินและหินรอบๆ ที่ไหลลงมาทับถมและสะสมอยู่บนธารน้ำแข็ง ซึ่งบางส่วนกลายเป็นสีดำเป็นบริเวณกว้างจนดูเหมือนก้อนหินมากกว่าน้ำแข็ง
เรือจอดให้เราชมวิวธารน้ำแข็งอันเป็นสุดยอดไม่มีที่ใดเหมือนในโลกอยู่เกือบครึ่งวัน ฉันยืนชมปรากฎการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจเบื้องหน้านับเป็นชั่วโมงไม่รู้เบื่อ สุดยอดของสุดยอดก็คือก้อนน้ำแข็งที่ยัง “มีชีวิต” คือมีการเกิดขึ้นและแตกตัวหล่นลงมาสู่ผืนน้ำตลอดเวลา ธารน้ำแข็งนี้เกิดจากการที่หิมะที่ตกลงมาได้ละลายและทับถมกัน กลายเป็นเม็ดน้ำแข็งกลมๆเล็กๆ และในที่สุดก็หลอมละลายเป็นแผ่นน้ำแข็งเนื้อเดียวกัน บางครั้งเจ้าน้ำแข็งนี้ก็กักเอาอากาศเข้าไว้ข้างใน ทำให้เมื่อมันละลายแตกออกจากธารน้ำแข็ง บางครั้งจะเกิดเสียงที่ฟองอากาศเหล่านี้ลั่นเปรี๊ยะออกมา และเมื่อก้อนน้ำแข็งพวกนี้กลิ้งตกลงสู่ผืนน้ำ เสียงที่มันตกลงน้ำดังโครมยังสะท้อนก้องไปมาในหุบเขาน้ำแข็ง ความรู้สึกที่ฉันยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือเฝ้าฟังและมองเจ้าก้อนน้ำแข็งก้อนแล้วก้อนเล่าแตกตัวกลิ้งหล่นลงสู่ผืนน้ำราวมีชีวิตนับชั่วโมงนั้น จึงเป็นประสบการณ์ที่สะกดจิตใจเอาไว้จนไม่อาจจะลืม
มองไปรอบๆผืนน้ำที่เรือจอดอยู่ก็ช่างน่าอัศจรรย์ เพราะเต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งสีขาวรูปร่างต่างๆลอยฟ่องอยู่รายรอบไม่รู้กี่แสนกี่ล้านก้อน เรือเราจอดห่างธารน้ำแข็งหนึ่งส่วนสี่ไมล์ซึ่งเป็นระยะใกล้สุดที่เรือจะเข้าได้ หากฉันรู้สึกเหมือนเราอยู่ใกล้มาก เพราะทุกอย่างรอบตัวมันช่างใหญ่โตเกินความเคยชิน ทำให้เราไม่ตระหนักถึงขนาดที่แท้จริง Margerie Glacier ที่เห็นนั้นสูงถึง 350 ฟุต และน้ำในอ่าว Glacier Bay นี้ลึกถึงกว่าพันฟุต หากเมื่อรู้ว่าเทือกเขาและธารน้ำแข็งที่เห็นนั้นใหญ่โตเพียงไร ทำให้อดนึกไม่ได้อีกแล้วว่า แท้จริงแล้วมนุษย์นั้นเล็กนิดเดียว หากไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองนั้นเล็กน้อยเพียงใด
นี่ละมัง ที่ทำให้ฉันชอบที่จะท่องเที่ยวไปในสถานที่ที่แตกต่าง เพราะบ่อยครั้งการที่ออกไปจากสภาพเดิมๆที่เคยชิน นอกจากจะทำให้ได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆแล้ว ยังทำให้เราได้มองย้อนกลับมาดูตัวเองอย่างสายตาของคนนอก และได้ทบทวนถึงสิ่งต่างๆอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวขึ้น สำหรับฉัน สถานที่จุดหมายปลายทางจึงไม่ใช่คำตอบว่าที่ใดคือที่โปรด หากต้องรวมถึงประสบการณ์ทั้งหมด และบางครั้งยังรวมถึงแง่มุมที่”ได้คิด”และเก็บเกี่ยวกลับมาด้วย
เมื่อเรือล่องพาเราออกมาจาก Glacier Bay ขึ้นเหนือต่อไปจนจบทริปที่ Anchorage การเที่ยวชมในเมืองใหญ่ที่สุดของอลาสก้าแห่งนี้จึงเป็นเพียงน้ำจิ้มสุดท้ายที่ทำให้ทริปสู่อลาสก้าครบถ้วนขึ้นตามสูตรเท่านั้น เพราะอลาสก้าของฉันได้สมบูรณ์เต็มอิ่มแล้วที่เส้นทางเดินเรือเจ็ดวัน ที่ได้เห็นฟยอร์ดอันมหัศจรรย์ของโลก ได้เห็นเมืองเล็กๆอันเต็มไปด้วยเรื่องราวครบถ้วน บรรยากาศย้อนยุคของเหมืองทอง เสาโทเท็มของชาวอินเดียน และได้นั่งเลื่อนที่ลากบนหิมะด้วยฮัสกี้อย่างที่ใฝ่ฝัน
อลาสก้าจึงเป็นหนึ่งในสถานที่สุดยอดในดวงใจของฉัน ด้วยทั้งประสบการณ์ที่ไม่มีที่ใดเหมือน และด้วยสถานที่ที่เป็นสุดยอดด้วยตัวของมันเอง
ที่พัก
เรือสำราญมีหลายบริษ้ทให้เลือก แต่จริงๆแล้วหลายยี่ห้อก็เป็นบริษัทแม่เดียวกัน บริการจึงไม่ต่างกันมาก ควรตัดสินใจเลือกเส้นทางและวันเวลาที่ถูกใจก่อนแล้วค่อยเลือกบริษัททีหลัง ยกเว้นต้องการเรือสำราญระดับหรูสุดๆจริงๆ คือเทียบเท่าโรงแรม 6 ดาว คือ Silversea, Crystal Cruises, Regent Seven Seas และ Oceanea ห้องพักทุกห้องเป็นห้องสวีทมีระเบียง ทั้งลำรับแขกน้อยกว่าที่เรืออื่นๆรับ แต่ราคาจะแพงกว่าเรืออื่นๆมากด้วย
ลองเข้าไปดูใน www.cruisealaska.com จะมีข้อมูลครบทุกบริษัทเรือ หรือเข้าไปดูโดยตรงที่เว็บไซท์ของบริษัทเรือครูซต่างๆ
Princess ที่ http://www.princess.com/
Holland America ที่ http://www.hollandamerica.com/
Carnival ที่ https://www.carnival.com/
Celebrity Cruise ที่ http://www.celebritycruises.com/
Silversea http://www.silversea.com/destinations/alaska-cruise/
Crystal Cruises http://www.crystalcruises.com/
Regent Seven Seas https://www.rssc.com/
Oceanea https://www.oceaniacruises.com/
ร้านอาหารและของกิน
ไส้กรอกเนื้อกวางเรนเดียร์ย่างร้อนๆขายตามรถเข็นฮอทดอกมีอยู่ทั่วไปใจกลางเมืองแองเคอเรจ เนื้อไส้กรอกร่วนเป็นชิ้นๆคล้ายไส้กรอกอังกฤษอร่อยมาก เวลากินอย่านึกถึงหน้ามันเวลาซานตาคลอสมาแจกของขวัญละกัน อาหารบนเรือครูซเป็นสิ่งที่อลังการงานสร้างมาก เพราะประเคนสิ่งดีๆสุดยอดให้เลือกไม่อั้น แนะนำว่าอย่าทำตัวกินง่ายอยู่ง่ายไปที่บุฟเฟ่ต์ กรุณาเตรียมตัวลดน้ำหนักทีหลังโดยรับประทานแบบเรื่องมากทุกมื้อที่ห้องอาหารแบบซิทดาวน์ให้เป็นเรื่องเป็นราว เพราะคุณจ่ายสตางค์ทั้งหมดไปแล้ว และการมาเที่ยวครูซหมายถึงพักผ่อนปรนเปรอตนเองแบบที่สุด อาหารที่ไม่ควรพลาดแน่นอนคืออลาสกันคิงแครบหรือขาปูอลาสก้ายักษ์หวานสดที่จะเสิร์ฟในดินเนอร์วันสุดท้าย หากผูกมิตรจีบบริกรดีๆอาจได้บริการแบบเติมได้ไม่อั้นแบบที่เราเจอมาแล้ว
ของควรซื้อ
– ผลิตภัณฑ์อินเดียนแดงทั้งหลาย ทั้งรองเท้าแตะใส่ในบ้าน ของประดับบ้าน หินต่างๆ
– มีดใบคู่โค้งที่มาคู่กับเขียงที่ปาดตรงกลางเป็นหลุม จะว่าไปแล้วก็เหมือนกับของอิตาลี ใช้สับของต่างๆได้สะดวกไม่เลอะเทอะ ขอกระซิบว่าฉันใช้เป็นอุปกรณ์ครัวคู่กายเอาไว้สับกระเทียมหรือพาร์สลีย์ได้ดีมาก
– ที่ตักสลัดทำจากไม้แกะเป็นรูปมือหมี ใช้ตักเส้นพาสต้าก็ได้ดีกว่าของอิตาลีเสียอีก
– บีฟเจอร์กี้ทำจากเนื้อกวางเรนเดืยร์หรือปลาซาลมอน ซาลมอนรมควัน
– หากได้โอกาสเข้าไปแคนาดาอย่าลืมซื้อเมเปิ้ลไซรัปติดมือมากินกับแพนเค้กหรือครัมเป็ตอร่อยที่สุด
เกร็ดเล็กน้อย
– ครูซที่อลาสก้าสามารถไปได้เฉพาะเดือนพฤษภาคมถึงกันยายนเท่านั้น ราคาครูซในเส้นทางเดียวกันก็จะต่างกันไปในแต่ละเดือน และจะแพงที่สุดราวเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นหน้าร้อนที่ฝรั่งจะนิยมมาอลาสก้าที่สุด เคล็ดลับที่จะซื้อครูซได้ราคาดีที่สุดก็คือให้เลือกเรือเที่ยวแรกๆหรือสุดท้ายของปี คือปลายเดือนพฤษภาคมหรือกันยายน
– หากมีเวลาเที่ยวต่อเมื่อจบครูซให้ซื้อทัวร์ขึ้นไปเที่ยวต่อที่เม้าท์แมคคินลีย์หนึ่งในภูเขาที่สูงที่สุดในโลก พักที่รีสอร์ทธรรมชาติ ที่ Denali National Park
ตีพิมพ์ในนิตยสาร Anywhere กันยายน 2005
แก้ไขปรับปรุง กรกฎาคม 2016
ชอบมากเลยค่ะ!
Niceeeeee
อ่านสนุก เพลิดเพลินมากเลยครับคุณฟ้า 🙂
ขอบคุณมากๆค่า
Comments are closed.