หน้าร้อนที่สวิตเซอร์แลนด์คือช่วงเวลาที่ฉันจะออกตะลุยเดินเขา เพราะติดใจเขาเขียวฟ้าครามทะเลสาบเทอร์ควอยซ์ ทุกสุดสัปดาห์จึงต้องหาเส้นทางใหม่ๆเร้าใจเดินชมธรรมชาติ และเส้นทางที่ฉันหมายมั่นปั้นมือรอที่สุดของซัมเมอร์ 2018 นี้คือ Pizol 5-lake hike หนึ่งในที่สุดของเส้นทางเดินเขาแห่งหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์
จริงๆแล้ว Pizol นี้ขับรถจากบ้านฉันไปเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเอง แต่เราต้องออกจากบ้านแต่เช้าเพราะจะต้องใช้เวลาเดินถึง 4 ชั่วโมงครึ่งถึง 5 ชั่วโมงและจะต้องเดินให้เสร็จภายในบ่าย 4 โมงครึ่งก่อนลิฟท์ข้างบนปิด เราขับรถไปที่เมือง Wangs มีลานจอดรถใหญ่ตรงจุดที่จะขึ้นกอนโดล่าพอดี จากด้านล่างเราขึ้นกอนโดล่าไปสองสถานีแล้วลงเปลี่ยนจากกอนโดล่าไปขึ้น chairlift ที่ Gaffia ซึ่งเป็นจุดที่เราจะเดินจากข้างบนเขาลงมาสิ้นสุดที่นี่ กอนโดล่าและกระเช้าเก้าอี้นี้ก็คือลิฟท์ที่ใช้สำหรับนักสกีในฤดูหนาว แต่พอหน้าร้อนก็จะปรับมาให้นักเดินเขาขึ้นไปเดินชมวิวภูเขาและทะเลสาบข้างบนแทน
กระเช้าเก้าอี้พาเราเหาะสูงขึ้นมาถึงที่ Pizolhütte ซึ่งเป็นร้านอาหารใหญ่มีที่นั่งนอกชานระเบียงให้สูดอากาศบนเขาอย่างสดชื่น คนส่วนมากจะนั่งทานกาแฟขนมหรืออาหารเพื่อเติมพลังเตรียมพร้อมก่อนเดินกันที่นี่ เราก็เติมพลังที่นี่เช่นกันเพราะตลอดเส้นทางการเดินจะไม่มีร้านอาหารอีกเลย
ยอดเขา Pizol นี้เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของ Canton St.Gallen เป็นเส้นทางการเดินเขาในฤดูร้อนที่สวยเด่นตรงที่เราจะได้เดินเลียบไปชมทะเลสาบที่ซ่อนตัวอยู่บนยอดเขาสูง 2800 เมตรถึง 5 ทะเลสาบคือ Wangsersee, Wildsee, Schottensee, Schwarzsee และBaschalvasee (See ภาษาเยอรมันแปลว่าทะเลสาบ) หลังจากเติมพลังที่ร้านอาหารและจัดการแต่งกายพร้อมเตรียมอุปกรณ์เรียบร้อยดีแล้ว เราก็เริ่มเดินกันโดยไปทะเลสาบแห่งแรกก่อน อันที่จริง Wangsersee นี้ไม่ได้อยู่ในเส้นทางวงกลมที่เราจะเดิน แต่เป็นเส้นทางที่ต้องเดินแยกออกไปอีกทางหนึ่งไม่ไกลจากตรงร้านอาหารนี้ เราจึงเริ่มเดินไปจัดการชมให้เสร็จเสียก่อนใช้เวลาไม่นาน ต้องบอกว่าทะเลสาบ Wangsersee นี้เป็นเพียงแค่น้ำจิ้มเท่านั้นเพราะยังไม่ได้สวยงามชวนตะลึง และเส้นทางการเดินก็ยังเป็นถนนดินง่ายๆ เมื่ออุ่นเครื่องจากตรงนี้เสร็จแล้วเราก็เริ่มเดินเข้าเส้นทางที่จะวนเป็นวงกลมและพาเราไปสูงขึ้นไปบนภูเขา โดยทางเข้าจุดเดินวงกลมนี้อยู่หน้าร้านอาหารนั่นเอง
ทีนี้แหละของจริงก็มาแล้วเพราะเส้นทางขั้นต้นก็เป็นการไต่เขาขึ้นแนวสูงอย่างยาว ถึงจะเดินไม่ยากแต่ก็ล้าทีเดียว ยิ่งสูงถนนยิ่งกลายเป็นหินก้อนสีดำๆโตๆสวยผิดไปจากเส้นทางด้านล่างซึ่งเป็นทางดิน และเราได้เห็นหิมะที่ยังกองอยู่เป็นหย่อมๆสีขาวตัดกับหินสีดำด้วย อากาศข้างบนนี้เย็นผิดกับข้างล่างที่ร้อนระอุ จึงเหมือนหลุดมาอีกโลกหนึ่ง
และหลังจากเดินมาได้ประมาณ 1 ชั่วโมงเราก็มาถึงทะเลสาบแห่งที่สองคือ Wildsee เป็นสีเขียวอ่อนแล้วหยอดสีขาวน้ำนมลงไป สวยจนตกใจเมื่อโผล่ขึ้นมาเห็นแบบไม่ตั้งตัว น้ำอยู่ลึกลงไปจากทางเดินที่เราเดินมา ตรงขอบด้านบนนี้มีคนนั่งพักทานอาหารปิกนิกกันรอบทะเลสาบแล้วแต่จะจับจอง ใครอยากนั่งตรงไหนเดินตรงไหนก็เดินไปได้รอบๆ ส่วนเราแค่ถ่ายรูปชื่นชมวิวแล้วเริ่มเดินออกต่อไป ทีนี้ต้องเดินไปบนหินก้อนใหญ่ๆซึ่งไม่ได้เป็นทางที่ทำเอาไว้ให้เดินง่ายนัก ต้องคอยระวังเลือกก้อนหินที่เดินเหยียบให้ดี ระหว่างเดินก็ชมวิวทะเลสาบในมุมที่เดินผ่านไปด้วย สวยจริงๆ ถ้าไม่กลัวว่าจะกลับลงมาไม่ทันลิฟท์รอบสุดท้ายก็คงจะอยู่ตรงนี้อีกนาน
ทะเลสาบที่สามเล็กลงมาหน่อย คราวนี้สีเป็นสีฟ้าหยอดน้ำนมขาว สวยไปอีกแบบ เรามองเห็นทะเลสาบนี้ตั้งแต่ตอนที่ไต่เขาลงมาจากยอดสูงด้านบน แต่ต้องเดินไต่ต่ำลงมาตามทางหินอีกนานพอสมควรกว่าจะมาถึงด้านล่าง สำหรับทะเลสาบนี้มีชายหาดอยู่รอบๆซึ่งสามารถเดินลงไปเล่นน้ำได้เลย มีฝรั่งใจกล้าไม่กลัวหนาวเล่นน้ำด้วย ฉันขอไม่สู้คนหนึ่งแหละ แค่เดินนี่ก็หนาวลมแล้ว
จากจุดนี้ทางเดินจะเป็นถนนดินบนเนินหญ้าเดินไม่ลำบากเหมือนที่ผ่านมา แต่ว่าเป็นการไต่ขึ้นเขาสูงจนต้องแหงนคอตั้งบ่าแบบยิงยาว จึงต้องอาศัยความอึดพอสมควร ในที่สุดเราก็ข้ามเขามาอีกลูกหนึ่ง แล้วพอพ้นเนินสูงก็มองเห็นทะเลสาบที่สี่อยู่ต่ำลงไปด้านล่าง ทะเลสาบนี้มีสีน้ำเงินเข้มใสต่างกันคนละแบบกับสองทะเลสาบที่ผ่านมาเลย สีสวยชวนประทับใจไปอีกแบบ พอเดินลงมาถึงด้านล่างเราสามารถเดินอ้อมทะเลสาบหรือจะเดินข้ามน้ำไปเลยก็ได้เพราะมีคนเอาก้อนหินมาวางเรียงทำเป็นสะพานให้เดินข้ามเอาไว้ตรงที่น้ำตื้นๆ ฉันว่าตรงสะพานหินนี้มันสวยน่ารักมากเลย จึงต้องลงไปเดินข้ามโพสต์ท่าถ่ายรูปเสียหน่อย แถมตอนที่มาถึงฝรั่งที่เดินมาด้วยกันมีน้องหมามาด้วยตัวหนึ่ง พอถึงน้องหมาลาบราดอร์สีช็อกโกแลตเข้มรีบวิ่งลงไปเล่นน้ำอย่างสนุกสนานเลย น่ารักมากๆ
จากนั้นเราต้องเดินไต่สูงข้ามเขาไปอีกลูกหนึ่ง จนในที่สุดก็มาถึงทะเลสาบที่ห้า สีของทะเลสาบนี้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เป็นสีเขียวเหมือนสนามหญ้าและขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ที่ชวนให้ทุกคนต้องยิ้มและหยุดถ่ายรูปกันก็คือบรรดาฝูงวัวทั้งหลายที่ลงไปดื่มน้ำและเล่นน้ำ เห็นแล้วมันช่างเหมือนควายในปลักนาบ้านเราจริงๆจนต้องหัวเราะออกมา ตรงนี้ท่าทางจะเป็นแหล่งสำราญของบรรดาวัวเพราะมาอยู่รวมกันเยอะมาก ตัวที่ไม่ได้เล่นน้ำก็ยืนเล็มกินหญ้าหรือนอนอาบแดดอยู่บนยอดเนินกันอย่างสบาย เราต้องเดินหลบหลีกไประหว่างวัวและก็ลุ้นไปด้วยว่านางจะไม่ถอยหลังมาเหยียบเรา ช่วงนี้เป็นหน้าร้อนชาวนาจะอพยพเอาวัวขึ้นมาอยู่บนเขาสูงๆเพื่อให้มากินหญ้าข้างบน เป็นการช่วยปรับภูมิทัศน์ไปในตัว
หลังจากนี้ก็ยิงยาวเดินข้ามเขาเป็นขาลงตลอด เส้นทางไม่ยาก เป็นการเดินไปบนพื้นดินบนไหล่เขาซิกแซ็กข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่าเพื่อลงต่ำ แต่การเดินลงยาวแบบนี้ก็จะทำให้หัวเข่าทำงานเยอะพอสมควร ฉันเคยเดินลงที่เนปาลยาว 2 ชั่วโมงครึ่งแบบนี้ วันรุ่งขึ้นก้าวขาไม่ออกอยู่หลายวันเลยเชียว
ในที่สุดเราก็กลับมาถึง Gaffia มีร้านอาหารบนเขาที่นักเดินเขานิยมเข้าไปนั่งดื่มพักเหนื่อยและฉลองความสำเร็จในการเดินกัน เป็นกระท่อมไม้บนเขาที่น่ารักมาก มีดอกไม้ปลูกรอบๆเต็มไปหมด แต่เราไม่ได้พักตรงนั้น เลือกที่จะนั่งกระเช้ากลับลงมาอีกสถานีหนึ่ง และพักทานน้ำที่ร้านอาหารตรงจุดล่างแทน ก่อนที่จะนั่งกอนโดล่ากลับลงมาที่จอดรถตอน 5 โมงครึ่งซึ่งเป็นเวลาก่อนกอนโดล่าปิดพอดี
สรุปเดินไปด้วยสถิติทั้งหมด 4 ชั่วโมงครึ่งจากจุดที่เริ่มเดินหลังจากเติมพลังที่ร้านอาหารด้านบนจนกระทั่งลงมาถึง Gaffia จริงๆฉันเป็นคนเดินช้ามาก เพราะขาสั้นและเคยเกิดอุบัติเหตุจึงทำให้กลัวการเดินบนทางที่เทลาดลง แต่ด้วยความที่อยากรู้อยากเห็นจึงไม่เคยหยุดตัวเองที่จะเดินเขา เพียงแต่ว่าเวลาเดินก็จะต้องทำใจแข็งและเดินช้าๆกว่าคนอื่น ถึงกระนั้นก็ยังทำเวลาได้ 4 ชั่วโมงครึ่งตามมาตรฐาน นี่ถ้าไม่จำเป็นต้องรีบกลับลงมาให้ทันกอนโดล่าฉันก็คงจะใช้เวลาเดินช้ากว่านี้ เพราะอยากหยุดถ่ายรูปเยอะๆ สรุปแล้วหากรวมเวลาที่ต้องขึ้นลิฟท์ขึ้นกอนโดล่ารวมแวะเติมพลังก่อนเดินและรวมที่เดินไปทะเลสาบแห่งแรกด้วย เราก็ใช้เวลาไปทั้งหมดตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึง 6 โมงเย็น บนเขาเดินไปเป็นระยะทาง 10 กิโลเมตรที่ความสูง 2800 เมตร แอพเดินบนโทรศัพท์ของฉันบอกว่าเดินไป 22,000 ก้าวเองวันนี้
เป็นวันที่มีความสุขมากๆอีกวันหนึ่งเพราะได้เดินในเส้นทางที่ตั้งใจเอาไว้ในซัมเมอร์นี้ และได้ไปเห็นกับตาตัวเองว่ามันสวยงามอย่างคำร่ำรือจริงๆ ด้วยวิวที่หลากหลายและยังเป็นการออกกำลังที่ดีมาก เดินเสร็จแล้วรู้สึกแข็งแรงขึ้นเลย
นี่แหละ ความงามของสวิตเซอร์แลนด์ที่แท้จริงมันก็จะซุกซ่อนอยู่สูงบนภูเขาแบบนี้ นิยามสวรรค์บนดินของแท้ และสำหรับ Pizol 5-lake hike นี้ ฉันฟันธงเลยว่า คือหนึ่งในที่สุดของเส้นทางเดินเขาของสวิตเซอร์แลนด์