ในสวิตเซอร์แลนด์มีหมู่บ้านน่ารักอันซีนอยู่หนึ่งแห่งที่ฉันก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงอันซีน ทำไมนักท่องเที่ยวถึงไม่ค่อยพูดถึงกัน หรือแม้แต่คนที่อยู่สวิตเซอร์แลนด์เองถ้าไม่ใช่ขาเจาะเที่ยวก็มักจะไม่รู้จักกัน หมู่บ้านนี้ก็คือ Vals ในคันโตน Graubünden ทางตะวันออกของสวิตเซอร์แลนด์ไม่ไกลจากอิตาลี หมู่บ้านนี้มีขนาดเล็กมากๆ มีพลเมืองแค่ 1000 คนเท่านั้นเอง ทั้งหมู่บ้านอยู่ในหุบเขา Valser valley ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1200 เมตร ไม่มีรถไฟไปถึง ต้องนั่งรถเมล์หรือขับรถคดเคี้ยวเลาะไหล่เขาเข้าไปเท่านั้น วิวของภูเขาสองข้างทางสวยมาก ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังจะเข้าไปในเมืองที่ไม่มีใครรู้จัก และเมื่อมาถึงหมู่บ้าน ได้เห็นว่าขนาดเล็กนิดเดียวแล้ว ยิ่งรู้สึกเหมือนเป็นเมืองลับแลที่ซ่อนอยู่ Exclusive จริงๆ
Vals หมู่บ้านจิ๋วแห่งนี้มีของดีสองอย่าง อย่างแรกคือน้ำแร่ซึ่งนำมาบรรจุขวดเป็นน้ำดื่มยี่ห้อ Valser ขายไปทั่วประเทศ อีกอย่างคือหินสีเทาเข้มมีประกายวาววับเหมือนกับเพชรฝังแทรกอยู่ในเนื้อที่เรียกว่า Valserstein แต่สำหรับฉันนั้นสิ่งที่เป็นของดีสุดยอดเลย ก็คือ Wellness ที่อยู่ในโรงแรมใหญ่ของเมืองชื่อ 7132 ฉันไปเวลล์เนสส์มาก็เยอะ ขอฟันธงเลยว่าที่นี่แหละเหนือฟ้าที่สุดแล้วในสวิตเซอร์แลนด์ เหนือฟ้าแบบเอ็กซ์คลูซีฟยิ่งกว่าเวลล์เนสส์ชื่อดังที่ใครๆก็เคยได้ยิน
หมู่บ้าน Vals นี้อยู่ในหุบเขาที่มีแม่น้ำไหลผ่านตรงกลาง ถนนที่ตัดเข้าหมู่บ้านก็ขนานไปกับแม่น้ำ บรรดาบ้านต่างๆจึงสร้างอยู่สองฝั่งแม่น้ำและถนน ไล่ลดหลั่นจากด้านล่างสูงขึ้นไปบนภูเขาทั้งสองฝั่ง บ้านที่นี่มีลักษณะแปลกดีทีเดียว เพราะเป็นบ้านไม้สีน้ำตาลเข้มแบบโบราณอายุเก่าที่เคยเป็นคอกสัตว์บ้าง เป็นยุ้งฉางบ้าง และปัจจุบันเขานำมาดัดแปลงทำข้างในใหม่ให้ทันสมัยอยู่สบาย แต่ยังเก็บเปลือกไม้ข้างนอกเอาไว้ บ้านพวกนี้มีจำนวนเยอะพอสมควรแต่ว่าอยู่สลับคั่นปนไปกับบ้านตึกซึ่งฉันว่าน่าจะอายุประมาณ 50 ถึง 60 ปีเ ป็นช่วงที่สถาปัตยกรรมตึกไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ อาจแลดูน่าเบื่อ ไม่ได้เป็นหมู่บ้านที่น่ารักเหมือนในนิทานทุกหย่อม ไม่น่าถ่ายรูปเหมือนกับบ้านสวิตฯในเมืองอื่น หากแต่เมื่อเดินสังเกตดูช้าๆจะเห็นว่าบ้านไม้เก่านี้มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนที่อื่น น่าสนใจมากๆ
ใจกลางหมู่บ้านเป็นวงเวียนที่มีน้ำพุอยู่ตรงกลางและมีถนนแยกเล็กๆออกไปหลายเส้น มีโบสถ์หลักประจำหมู่บ้านอยู่ตรงนั้น รอบๆมีโรงแรมและร้านอาหารบ้าง และบ้านไม้หลังใหญ่สวยเด่นที่สุดใจกลางวงเวียนนั้นเป็นของคุณปู่คุณย่าชาวสวิสที่มีสะใภ้เป็นคนไทย บ้านนี้มีพิพิธภัณฑ์เล็กๆให้ชมได้ด้วย มีส่วนที่จัดแสดงคริสตัลสะสมของคุณปู่ กับส่วนที่เป็น 2 ห้องที่ชั้นใต้ถุนจัดแสดงข้าวของต่างๆพวกข้าวของเครื่องใช้โบราณเหมือนร้านขายของเก่า ทุกชิ้นมีราคาติดไว้ ใครจะซื้อเป็นที่ระลึกก็ได้ มีกล่องให้ใส่เงินเอาไว้สำหรับคนที่จะซื้อ ตามระบบความซื่อสัตย์แบบสวิส ส่วนฉันนั้นชอบชมบ้านเก่าแบบนี้ก็เพราะอยากจะดูสถาปัตยกรรมและงานสร้างด้วยไม้ด้านในตัวบ้านมากกว่า ได้เข้าไปแล้วจึงตื่นตาตื่นใจดูประตูไม้เพดานผนังอย่างสนุกสนานมาก
เลยวงเวียนใจกลางหมู่บ้านออกไปนิดมีร้านขายชีสและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมเนย น่าซื้อไปทุกอย่างทีเดียว ฉันได้เดินเลาะไปตามถนนเส้นต่างๆที่พาไปสู่บ้านคนเพื่อชมสถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือนต่างๆอย่างที่ชอบ ตอนที่ไปหน้าหนาวนั้นทั้งหมู่บ้านปิดเงียบแทบไม่เห็นคนเลย คงเป็นเพราะหลบโควิดอยู่ในบ้านกันหมด หรือไม่ก็ออกไปเดินบนภูเขาหรือเล่นสกีกัน ระหว่างบ้านที่อยู่สูงบนเนินเขาขึ้นไปที่พื้นบนเนินมีหิมะปกคลุมอยู่นั้น เห็นเลยว่ามีรอยคนสกีลงมากันทั้งที่ไม่ใช่ลานสกี ดูดีๆจึงเห็นคนแบกสกีเดินไต่ภูเขาขึ้นไปสูง แล้วก็ไถลเล่นกันลงมาเองแบบไม่ต้องมีพิธีรีตอง เป็นวิถีชีวิตที่แปลกไปอีกแบบ
เดินชมในตัวหมู่บ้านแล้วก็ต้องจัดเส้นทางการเดินออกกำลังบนภูเขาที่สูงเหนือหมู่บ้านขึ้นไป เพื่อที่จะได้สำรวจและชมวิวหมู่บ้านจากข้างบนกัน ฉันเคยไปทั้งฤดูหนาวที่หิมะท่วมหัวท่วมหูกับฤดูร้อน เส้นทางสำหรับเดินเขาในฤดูหนาวนั้นดีมากๆ เป็นเส้นทางเล็กๆจากหมู่บ้านด้านล่างไต่ไปจนถึงด้านบนสูงขึ้นไปประมาณ 300 เมตร เป็นระยะทางทั้งหมด 8 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง แล้ววนกลับลงมาหมู่บ้านอีกด้านหนึ่ง ตลอดทางมีป้ายสีเหลืองที่มีรูปหิมะบนวงกลมสีแดงชี้บอกทางเป็นสัญลักษณ์ของเส้นทางการเดินเป็นระยะ แสดงว่าเป็นเส้นทางแนะนำยอดนิยมทีเดียว แต่ตอนที่เราไปนี้เงียบเชียบแทบไม่มีคนเลย เส้นทางแคบยาวที่เราเดินนี้เหมาะมากสำหรับการแล่นเลื่อนหิมะไหลลงมาจากบนเขา เราจึงได้เห็นเด็กวัยรุ่นและครอบครัวที่มีเด็กเล็กแล่นเลื่อนสวนลงมาอย่างสนุกสนานบ้าง คาดว่าในสถานการณ์ปกติคงเปรียบเสมือนเป็นไม้ลื่นสวนสนุกที่แล่นเลื่อนกันได้อย่างสนุกสะใจทีเดียวเพราะยาวหลายกิโลเมตรเลย และก็ยังมีคนเดินออกกำลังไต่เขาบนหิมะหนาลัดไปตามป่าด้วยสโนว์ชูกันบ้างสองสามคน สังเกตดูกิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมของคนในหมู่บ้านท้องถิ่นล้วน ไม่ได้เป็นเส้นทางยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวมากัน ซึ่งมันน่าทึ่งมากที่เราเห็นได้คนที่มีวิถีชีวิตแบบนี้อยู่กับธรรมชาติ และมีกิจกรรมสนุกๆได้อย่างที่ไม่ต้องเสียเงินเลย
เราเดินสูงขึ้นไปจนถึงเนินสกีเห็นที่มีนักสกีเพียงแค่สองถึงสามคนเท่านั้น แม้จะแลดูเป็นเนินสกีที่เล็กๆและคงมีแต่คนในท้องถิ่นมาเท่านั้น แต่มันก็ดูบางตาผิดจากสถานการณ์ปกติมากจริงๆ จากตรงนั้นเราก็ค่อยๆเดินลดระดับวกกลับลง จากมุมสูงนี้เห็นตัวหมู่บ้าน Vals กระจุกอยู่ในหุบเขาด้านล่าง มีแม่น้ำไหลผ่านกลาง บรรดาหลังคาบ้านถูกหิมะคลุมเป็นสีขาวสวย เหมือนหมู่บ้านในนิทานจริงๆ ส่วนหน้าร้อน ฉันเคยนั่งกระเช้าที่พานักสกีขึ้นไปด้านบน แล้วเดินเลาะไปตามเขา ได้เห็นวิวภูเขาสวยงามชื่นใจ
อีกไฮไลท์ของ Vals คือเวลล์เนสส์ที่อยู่ในโรงแรม 7132 ที่ฉันไปพักมาทั้งสองครั้ง ฉันเคยเล่าไปแล้วว่าเวลล์เนสส์นี้คือวิถีชีวิตแบบหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ และสวิตฯมีเวลล์เนสส์คุณภาพระดับสุดยอดของโลกมากมายกระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่ที่โรงแรม 7132 นี้โดดเด่นแตกต่างด้วยสถาปัตยกรรมและดีไซน์ที่ล้ำและโรแมนติกมาก ตัวโรงแรมเองถึงแม้จะเป็นตึกเก่าเอามาบูรณะใหม่ แต่ก็ทำได้เก๋เปรี้ยวห้าดาวแบบงงไปเลยว่ามาอยู่ในหมู่บ้านเล็กขนาดนี้ได้อย่างไร แค่ทางเข้าโรงแรมก็ Exclusive มากแล้ว เพราะถนนที่แล่นมาจากหมู่บ้านนี้มาตรงสุดที่ประตูโรงแรมเลย จอดรถขวางมันหน้าประตูแล้วก็มีคนมาขนกระเป๋าแล้วเอารถไปจอดให้ เราเดินเข้าไปเช็คอินเลยอย่างเก๋ๆ
เช็คอินเสร็จเขาก็ให้คูปองไปสั่งเวลคัมดริ้งค์เป็นแชมเปญหรืออะไรก็ได้ตามใจ ที่บาร์ติดหน้าต่างใหญ่กว้างเปิดโล่งเห็นวิวภูเขาที่ท่วมไปด้วยหิมะ แค่นี้ก็ไม่อยากลุกไปไหนแล้ว ในโรงแรมมีห้องอาหาร 2 ห้องๆหนึ่งเป็นร้านที่ได้ดาวมิชลินถึง 2 ดาว ห้องนอนมีหลายแบบหลายขนาดมาก แต่ดีไซน์แบบเปรี้ยวประหลาดทุกห้อง ตรงกลางห้องเป็นห้องน้ำซึ่งกรุด้วยกระจกรอบรูปไข่ เรียกว่ายืนอาบน้ำแปรงฟันกันตรงกลางห้องหลังกระจกที่เกือบใสเลยทีเดียว ครั้งแรกฉันเลือกห้องที่เป็นไม้เพราะแลจะดูอบอุ่นอยู่สบายกว่า ครั้งที่สองเลือกห้องหิน Valserstein สัญลักษณ์ของหมู่บ้านที่มีผังห้องแบบเดียวกัน ถึงห้องจะค่อนข้างเล็กไปหน่อยแต่ก็ออกแบบให้มีที่เก็บของได้เยอะมากโดยที่ไม่ต้องวางให้เกะกะเปลืองที่ และมีผนังกระจกกว้างโล่งที่เปิดออกสู่ระเบียงมองออกไปเห็นภูเขา วิวดีทีเดียว
เมื่อสำรวจดีไซน์ของโรงแรมอย่างสนุกสนานเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต้องรีบเปลี่ยนชุดไปสำรวจเวลล์เนสส์ของโรงแรม ฉันรู้มาอยู่ก่อนแล้วว่านี่คือหนึ่งในเวลล์เนสส์สปาที่ออกแบบได้สวยที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์หรือจะของโลกก็ว่าได้ ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังมากของสวิตฯ แต่พอเห็นของจริงแล้วบอกเลยว่าก็ยังตื่นตาตื่นใจอย่างที่สุด ฉันไม่เคยเห็นสปาที่ไหนออกแบบอย่างนี้ คือมันมีความมินิมัลและออกจะอินดัสเตรียลมากแต่ยังเป็นธรรมชาติสุดๆ นั่นก็เพราะเขาใช้วัสดุที่เป็นธรรมชาติล้วนนั้นเอง ซึ่งนั่นก็คือหิน Valserstein ประจำถิ่นสีเทาที่มีประกายเหมือนเพชรเม็ดเล็กๆระยับอยู่ในเนื้อ ทั้งผนังพื้นทุกห้องทุกซอกมุมของสปาใช้หินนี้หมดเลย มองไปทางไหนจึงรู้สึกนิ่ง ขรึม และขึงขังด้วยโทนสีเทาเข้ม ส่งให้น้ำในบ่อสีเขียวเป็นประกายเหมือนบ่อน้ำอมฤตเข้าไปใหญ่ ด้านนอกมีบ่อน้ำเอ้าท์ดอร์ขนาดใหญ่อุณหภูมิ 36 องศาเซลเซียส อุ่นสบายตัดกับอุณหภูมิหนาวของอากาศ ทำให้มีควันฟุ้งขึ้นอยู่เหนือผิวน้ำอยู่ตลอดเวลา แลดูเหมือนอาบน้ำอยู่ในบ่อบนสวรรค์จริงๆ
รูปจากเว็บไซต์โรงแรม 7132.com รูปจากเว็บไซต์โรงแรม 7132.com
ส่วนด้านในมีบ่อน้ำต่างๆหลายบ่อทีเดียวที่อุณหภูมิต่างๆกันไป ตั้งแต่บ่อเย็น 14 องศาเซลเซียสไปจนถึงบ่อร้อน 42 องศาเซลเซียส มีบ่อใหญ่อยู่ตรงกลางและมีพวกบ่อเล็กบ่อน้อยซึ่งเก๋มากๆ เพราะจะซ่อนอยู่ในหลืบห้องของกำแพงสีเทาที่เราไม่คาดว่าจะมีบ่อน้ำอยู่ ต้องเดินเข้าไปในซอกหลืบแล้วจึงจะเผยให้เห็นบันไดที่เดินลงบ่อไปเลยได้ หรือพอเดินลงน้ำไปแล้วก็ต้องเลี้ยวเข้าไปในหลืบหินจึงจะโผล่มาให้เห็นว่ามีบ่อน้ำบำบัดอยู่ด้านใน คือทุกบ่อเขาดีไซน์ให้ได้บรรยากาศเพื่อเตรียมอารมณ์ให้พร้อมก่อนที่จะเข้าไปรับการบำบัดในแต่ละบ่อได้อย่างดีมาก บ่อที่ฉันชอบมากก็คือบ่อที่มีกลีบดอกไม้เล็กๆลอยหมุนวนอยู่ในน้ำ เขาว่าเป็นดอกไม้ในพื้นที่เอามาเด็ดเป็นกลีบเล็กๆ มีสีขาวเกือบใสที่จะถูกกระแสน้ำวนตีให้ปนไปในบ่อจนทั่ว ล้อจับแสงไฟวิบวับเหมือนเรากลายเป็นนางฟ้าอาบน้ำดอกไม้เลย อีกห้องที่ชอบก็คือเป็นห้องพักผ่อนที่มีเตียงชิดกำแพงหินให้นอน โดยที่ในกำแพงนั้นมีลำโพงซ่อนอยู่ในจุดต่างๆ เปิดดนตรีเป็นเสียงเคาะฆ้องและระฆังโดยที่เสียงเหล่านั้นจะออกมาพอดีกับตำแหน่งที่ศีรษะและหูของเรา ทำให้หูได้รับแต่ละเสียงที่เหมือนล่องลอยมาจากจุดต่างๆกันแล้วมาประสานกันพอดีในหัวเรา นอกจากเพราะมากแล้วยังทำให้อารมณ์ของเราถูกดึงดิ่งลงไปลึกนิ่งสงบอย่างสุดๆจนฉันหลับครอกไปเลย
นอกจากนี้ยังมีห้องอบไอน้ำซึ่งจัดเป็นส่วนให้นอนพักบนเตียงหินเฉพาะตัวได้เลยคนละเตียง ไม่ต้องไปนั่งล้อมวงปะปนกันกับคนแปลกหน้า ห้องแบ่งเป็นสามส่วน ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งร้อน วิธีการคือให้นอนอบบนเตียงหินด้านนอกก่อน แล้วค่อยย้ายเข้าไปห้องด้านในทีละส่วนๆให้อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ
เวลล์เนสที่นี่เขาเคร่งคัดมากเรื่องห้ามถ่ายรูปและห้ามเอานาฬิกาเข้าไปด้านใน เพราะเขาบอกว่าต้องการให้เราลืมเวลาไปเลย ดังนั้นฉันจึงไม่มีรูปที่ถ่ายด้านในมาเองเลย ต้องไปขอยืมมาจากทั้งของเว็บโรงแรมและจากอินเตอร์เน็ต แต่ถึงจะบรรยายหรือให้เห็นรูปอย่างไรก็รับประกันเลยว่า ไม่มีทางเหมือนที่จะไปได้รับประสบการณ์ตรงด้วยตัวเองแน่ๆ บอกเลยว่าที่นี่ของจริงเหนือกว่าคำบรรยายใดๆ
และในเมื่อโรงแรมนี้มีร้านอาหาร Silver ที่ได้ดาวมิชลินถึง 2 ดาว ฉันจะพลาดได้อย่างไร อาหารมีให้เลือกแบบเดียวคือเสิร์ฟ 9 คอร์สเท่านั้น เริ่มที่ Amuse-bouche หรือจานเรียกน้ำย่อยต้อนรับ เชฟจัดมาให้ถึง 5 จาน และให้คำใหญ่ทีเดียว ปกติจานต้อนรับนี้จะเป็นอะไรที่มักจะถูกใจฉันทุกครั้งไม่รู้เป็นอะไร บางทีถูกใจมากกว่าจานหลักอีก แต่ครั้งนี้ถึงแม้เขาจะมีไอเดียของการผสมผสานรสชาติและเครื่องปรุงอย่างน่าสนใจฉันกลับเฉยๆกับทั้ง 5 จาน และรู้สึกว่ามันจะออกแนวเป็นแป้งค่อนข้างมาก ฉันไม่ค่อยชอบกินคาร์โบไฮเดรตมากนักอยู่แล้วจึงไม่ได้ประทับใจเท่าไร ทั้ง 9 คอร์สที่ตามมาก็นับว่าสมศักดิ์ศรีสองดาว แต่ไม่มีจานไหนเลยที่ฉันตื่นเต้นแบบคาดไม่ถึง ทั้งในแง่ของรสชาติ ส่วนผสม และการนำเสนอ จานที่ชอบที่สุดน่าจะเป็นสามจานแรก ซึ่งเน้นเป็นผักทั้งหมด จานแรกผักสลัดผ่าครึ่งทั้งหัวเอาไปย่างแล้วเสิร์ฟมากับคาเวียร์ จานที่สองเป็นดอกกะหล่ำกับปู และจานที่สามเป็นหัว celery root ฉันว่าอาหารไฟน์ไดน์นิ่งนี้เวลาเอาผักมาทำมันอร่อยกว่าจานเนื้อสัตว์มากเลย จานปลาซึ่งเป็น Turbot จาก Bretagne ของฝรั่งเศสกับสเต็กเนื้อจากในแคว้นนี้ ถึงแม้จะทำได้ดีฉันกลับประทับใจน้อยกว่าผักเยอะเลย ส่วนเชอร์เบทที่มาเล่นแร่แปรธาตุปรุงให้ชมสดๆที่โต๊ะด้วยไนโตรเจนเหลวนั้น ถูกใจเพราะเป็นรสผักเซเลอรี่และมะนาวกับเหล้าบ๊วย มีสีเขียวและความเป็นผัก เลยชอบมาก
จานชีสก็นับว่าดีมาก เป็นชีส Camembert ที่มีราขึ้นเขียวหน้าตาเหมือนบลูชีส ขนมก็ใช้ได้แต่ไม่ว้าวมาก แต่กินมาทั้งหมดหลายจานมากอยากจะบอกว่าสิ่งที่ว้าวสุดๆก็คือเนย!เป็นเนยที่เขาทำเองสดๆทุกวันจากนมที่รีดในตอนเช้านั้นเลย มันเป็นครีมนุ่มมันมาก กินกับ sourdough กินไปเรื่อยระหว่างแต่ละจาน โอ้ยแทบจะหยุดไม่ได้เลย ตัดกำลังอย่างมาก
สิ่งที่ฉันชอบคือเขาใช้เครื่องปรุงจากท้องถิ่นพอสมควรมาผสมผสานกับเครื่องปรุงนานาชาติที่นำเข้ามา แต่ที่ไม่ชอบคือเขาบอกว่าปูก็ต้องใส่เครื่องบินบินมาทุกเช้า ปลาก็เช่นกัน ซึ่งเขาคงเจตนาจะบอกว่านำเข้าสดๆทุกวัน แต่ฉันไม่ค่อยสบายใจว่ามันจะต้องขนส่งกันเฉพาะเจาะจงมากมายเพื่อจะทำอาหารให้คนกินไม่กี่สิบคนทุกวันแล้วทิ้งคาร์บอนฟุตพริ้นท์เอาไว้ให้โลกร้อนมากขนาดนี้เชียวหรือ อีกอย่างที่ฉันเฉยๆก็คือพวกอาหารไฟน์ไดน์นิ่งเดี๋ยวนี้จะต้องเอาเทคนิคหรือส่วนผสมในรสชาติของอาหารเอเชียเข้ามากันมาก ไม่อย่างนั้นจะไม่เก๋หรือดูไม่สร้างสรรค์ เราคนกินอาหารเอเชียมาเยอะเจอแบบนี้ก็เลยไม่ค่อยจะตื่นเต้นเท่าไหร่ เช่นหนึ่งใน Amuse-bouche นี้มาเป็นกระทงทองเป๊ะเลย ฝรั่งคงตื่นเต้น ส่วนราคานั้นนับว่าอยู่ในระดับที่แพงถ้าเทียบกับร้านอาหารในระดับเดียวกัน คือคนละ 275 สวิสฟรังก์ ถ้าจะมีไวน์จับคู่ด้วยก็เพิ่มอีก 175 ฟรังก์ และในโรงแรมยังมีร้านอาหารอีกห้องที่หรูหราน้อยกว่า ราคาย่อมเยาว์กว่า แต่ฉันว่าคุณภาพและรสชาติดีเกินคุ้มทีเดียว
Vals เป็นอีกหนึ่งหมู่บ้านในสวิตเซอร์แลนด์ที่ฉันรักมากๆ ตัวหมู่บ้านไม่ได้น่ารักด้วยสถาปัตยกรรมที่จะต้องมาถ่ายรูปเช็กอินอวดใคร แต่เป็นความน่ารักที่มีความแท้และความเป็นธรรมชาติ เล็กๆ ดูเรียล มีทางเดินเขาและสกีที่ดี มีโรงแรมดี มีเวลล์เนสส์ที่ดีที่สุดของประเทศ อาหารอร่อย เรียกว่าเป็นอัญมณีแท้ของอันซีนสวิตเซอร์แลนด์ที่สายเที่ยวเจาะลึกไม่ควรพลาดทีเดียว