Thursday, November 21, 2024

จอร์เจียเป็นประเทศเกิดใหม่ที่เคยอยู่หลังม่านเหล็กของรัสเซียมาก่อน จึงมีจริตเป็นฝรั่ง แต่ด้วยภูมิประเทศที่ตั้งอยู่ติดกับเทือกเขา Caucasus อันถือว่าเป็นแนวแบ่งทวีประหว่างยุโรปและเอเชีย จอร์เจียจึงนับว่าเป็นประเทศในทวีปเอเชียอย่างเป็นทางการ จากประเทศที่แทบไม่มีใครรู้จัก กลายมาเป็นจุดหมายที่คนไทยมากมายพูดถึงกันในตอนนี้ก็เพราะเป็นหนึ่งในประเทศที่ถือพาสสปอร์ตไทยเข้าไปเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า แต่ก็ดูเหมือนความกระจ่างเกี่ยวกับจอร์เจียก็ยังมีไม่มาก หลายคนถามกันว่าน่าไปไหม ได้ข่าวว่าสวย ราคาถูก ฉันได้ไปเยือนมาถึงสิบวันจึงอยากมาเล่าประสบการณ์ในประเทศลูกครึ่งนี้ให้ฟัง

เที่ยวเหนือฟ้าพาแม่เที่ยวราชาสถาน ชมชัยปุระและอุทัยปุระแบบเที่ยวง่าย เดินน้อย ถ่ายรูปสวย กินสวย อยู่หรู ช้อปเพชรพลอยเป็นหลัก เหมาะกับผู้ใหญ่ สบายๆแบบทริปมหารานีอย่างแท้จริง พร้อมโพยช้อปโพยกิน

มันเริ่มขึ้นที่ “ถั่ว” แต่จบลงที่ฉันเกือบบ้า(แบบยังพอขำได้อยู่) เรื่องของเรื่องคือว่า จู่ๆฉันก็เกิดอาการแพ้ถั่วขึ้นมาเมื่ออายุสามสิบกว่า แล้วความรุนแรงนี่คือจากศูนย์ คือกินถั่วได้ไม่เป็นอะไร อยู่ดีๆพอจะแพ้ขึ้นมาก็เป็นระดับเกือบตายเลยในครั้งเดียว หลังจากที่รู้ตัวว่าแพ้ถั่วไม่นานฉันก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ที่ต้องเดินทางไปอินเดียบ่อย รู้ๆกันอยู่ว่าอาหารแขกใส่ถั่วเยอะขนาดไหน แต่ที่น่ากลัวกว่าคือแขกไม่รู้จักไม่เคยได้ยินโรคแพ้ถั่ว ไม่เข้าใจว่ามันเป็นการแพ้อาหารที่อันตรายรุนแรงที่สุดในบรรดาแพ้อาหารทั้งปวง

สมัยเวลาไปทำงานอินเดียอย่างอุตลุด การจัดการเรื่องต่างๆสำหรับการเดินทาง การประชุม และนัดหมาย ต้องเตรียมล่วงหน้าไว้อย่างดีเลิศเป๊ะๆๆเพราะจะพลาดและเสียเวลาไม่ได้เลย ครั้งหนึ่งฉันต้องวิ่งรอกประชุมหลายที่อย่างแฮ่กมากจากมุมไบต้องจับเครื่องไปประชุมต่ออีกหนึ่งวันที่เดลี เครื่องออกเช้าแปดโมงต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า เครื่องจะลงเก้าโมงต้องวิ่งๆๆๆๆไปเข้าห้องประชุมให้ทันสิบโมง เวลาที่มีเฉียดฉิวมาก เครื่องลงประตูเปิดปุ๊บฉันจึงโกยแน่บวิ่งๆๆๆแหวกบรรดาแขกออกมา ถึงด้านนอกเอ๊ะทำไมไม่มีคนขับรถมายืนถือป้ายชื่อรอรับ

พอปี 2548 ชะตาชีวิตที่จะต้องหลั่งน้ำตาอีกและเกี่ยวข้องกับอินเดียอย่างเข้มข้นก็เริ่มขึ้น ฉันได้รับมอบหมายงานให้เป็นผู้อำนวยการดูแลภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่ว่านายอินเดียและทีมพัฒนาสินค้านั่งประจำอยู่ที่เมืองมุมไบ ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเดินทางไปทำงานอินเดียเฉลี่ยแล้วทุกเดือน บางทีก็บ่อยกว่านั้น ฉันเริ่มคุ้นเคยกับอินเดีย ทั้งผู้คน สถานที่ อาหารวัฒนธรรม ทางหนีทีไล่ และกลยุทธการต่อรองจัดการแขก จนไปมาได้อย่างสบายๆเหมือนบ้านหลังที่สอง

ฉันก็เหมือนคนไทยทั่วไปที่โตขึ้นมากับความคิดที่ไม่ค่อยปลื้มนักกับอินเดีย พูดถึงอินเดียก็มีแต่คนบ่นว่าสกปรก แขกพูดเร็วฟังไม่รู้เรื่อง ตัวเหม็น บ้านเมืองเหม็น อาหารเหม็นเครื่องเทศกินไม่ได้ ไม่อยากไป ไม่ไปเด็ดขาด หลายปีผ่านไปได้คำสั่งจากนายว่าให้ไปเมืองมุมไบที่อินเดียอีกเป็นครั้งที่สอง และครั้งนี้แหละที่อินเดียทำให้ฉันหลั่งน้ำตาเป็นครั้งแรก

“เสี่ยวเอ้อ  ขอน้ำชาหนึ่งจอก  ข้าเดินทางทางมาไกลหลายพันลี้  เหนื่อยเหลือเกิน” “ขอรับท่านจอมยุทธ”  “ท่านจอมยุทธ  ระวังข้างหลัง”.... เช้ง  โช้งเช้ง เช้ง ภาพในจินตนาการของจอมยุทธผมยาวต่อสู้กันแล้วกระโดดตัวเบาไปตามหลังคาเก๋งจีน  คือสิ่งเดียวเท่านั้นที่ขาดไปจากภาพเมืองเก่าลี่เจียงที่อยู่ตรงหน้า  ส่วนสิ่งที่เกินมา  ก็คือบรรดานักท่องเที่ยวที่เดินตามกันเป็นสายเลือกซื้อของตามร้านรวงสองฝั่ง  จนแน่นถนนแคบๆที่ปูด้วยหินโบราณอายุ 800 กว่าปี

เช้าตรู่เมื่อหมอกยังไม่จางดี  ที่ร้านกาแฟสดในปั๊มน้ำมันบนทางหลวงหมายเลขหนึ่ง  เลยตัวเมืองกำแพงเพชรมาไม่ไกล  ลุงชงกาแฟไปพลางเมียงมองมายังรถโฟร์วีลไดรฟว์ของเราที่บรรทุกข้าวของเครื่องใช้และเสบียงเพียบ  แล้วถามด้วยเสียงเปี่ยมความสงสัยว่า “จะไปเที่ยวไหน  ของเต็มรถขนาดนี้” คนขับมือหนึ่งของฉันตอบลงเสียงหนักแน่นหากอมยิ้มว่า “บอกไปก็ไม่เชื่อ” ลุงอึ้งไปนิดหนึ่งด้วยคำตอบที่คาดไม่ถึง  และคงประมาณไม่ถูกด้วยว่า  คำตอบนั้นเป็นมุกหรือเปล่า  แต่ความอยากรู้คงมีมากกว่า  ลุงจึงแหย่หาคำตอบต่อ “เชื่อ...บอกมาเถ้อะ....” “จะขับรถไป...ทิเบต....”