Extravaganza – Rio de Janeiro!
คาริย็อคค่า (Carioca) หรือคนเมืองริโอภูมิใจอย่างเหลือเกินว่า ริโอเดอจาเนโรคือเมืองที่สวยที่สุดในโลก สวยจนมีคำกล่าวว่า ริโอเป็นเมืองของพระเจ้า จะเป็นด้วยแรงศรัทธาในพระเจ้าของชาวเมืองแห่งประเทศที่มีพลเมืองคาธอลิกมากที่สุดในโลกนี้ หรือด้วยความภูมิใจในความงามของริโอ หรือจะทั้งสองอย่างรวมกันก็ตามแต่ เหนือยอดเขา Corcovado ที่สูงเด่นเห็นได้จากทุกมุมเมือง คือความในใจนี้ที่คาริย็อคค่าประกาศให้โลกรู้ รูปปั้นพระเยซู Christ the Redeemer สูง 38 เมตร กางพระหัตถ์ออกตรงเป็นรูปไม้กางเขน ก้มพระพักตร์อันสงบและปรานีลงน้อยๆ ประหนึ่งจะเฝ้าปกปักรักษาดูแลเมืองริโอและคาริย็อคค่าทุกคนไว้ในอ้อมอกไม่ว่าวันหรือคืน และแรงศรัทธานี้ยังได้ประกาศตัวเป็นครั้งที่สอง เมื่อ Christ the Redeemer ได้ถูกรับรองเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่เมื่อปี 2007
Lake Titicaca – Taquile Island กำเนิดอินคา
แม้จะเจาะลึกเปรูไปแล้วอย่างละเอียดสามเมืองกับถึงสองสัปดาห์ ความลึกลับและปาฏิหาริย์ของเปรูก็ยังคงตกตะกอนนอนอยู่ในใจฉันอย่างไม่เสื่อมคลาย หนึ่งปีผ่านไป..ภาพประสบการณ์ที่ผ่านมาก็คอยจะผุดขึ้นมาในใจตลอด ทุกครั้งก็จะรู้สึกว่าความสุขมันล้นท่วมท้นและคิดถึงขึ้นมาอย่างรุนแรง เหมือนมีเสียงเรียกให้กลับไปอีก ไม่เคยเลยที่ฉันจะเฝ้าวนเวียนครุ่นคิดอยากกลับไปเยือนสถานที่เดิมที่เคยไปมาแล้วอย่างสลัดออกจากหัวไม่ออกเช่นนี้ เหมือนคนที่ตกหลุมรัก นี่ฉันคงจะต้องมนต์สะกดลึกลับของเปรูเข้าเสียแล้ว
Eguisheim หมู่บ้านในนิทานและนกกระสากับไวน์
ในบรรดาแคว้นต่างๆของฝรั่งเศสนั้น แคว้นที่แลดูจะมีวัฒนธรรมอาหารการกินและบ้านเรือนที่ต่างออกไป คงจะเป็น Alsace ทางตะวันออกของประเทศติดกับเยอรมนี หมู่บ้านเล็กน่ารักเมืองหนึ่งที่ติดใจมากมายคือ Eguisheim ได้รับเลือกเป็นหมู่บ้านที่เป็นที่โปรดปรานชื่นชอบที่สุดของฝรั่งเศส (Village préféré des Français) ประจำปี 2013 และยังเป็นสมาชิกในกลุ่ม Les Plus Beaux Villages de France ซึ่งแปลว่า “หมู่บ้านที่สวยที่สุดของฝรั่งเศส” ฉันเดินตามทางเข้าไป พอเริ่มเห็นหน้าตาบ้านเรือนเท่านั้นแหละ ร้องกรี๊ดเลย นี่มันบ้านเมืองในนิทานยามเด็กของฉันชัดๆ
Saint Paul de Vence เมืองโบราณในอารมณ์อาร์ตทิสต์
ฝรั่งเศสมีเมืองเล็กน่ารักอยู่เต็มไปหมดทั่วประเทศ ไหนๆก็เล่าถึงเมืองแอซแถวเฟร้นช์ริเวียร่าไปแล้ว ขอแนะนำเมืองน่ารักอีกเมืองไม่ไกลจากริเวียร่าเลยแล้วกัน เมือง Saint Paul de Vence ตั้งอยู่บนเขาหินทั้งลูกเหมือนกัน และเป็นเมืองเก่าจากยุคกลาง มีร้านอาหารคาเฟ่มากมายเต็มไปหมด แต่ละร้านน่านั่งทั้งนั้น มีขนาดเล็กเดินชมได้ทั่วใน 2-3 ชั่วโมง
Rapa Nui– Heaven is the Remotest Place ราปานุย เกาะที่ไกลที่สุดในโลก
“Easter Island” ชื่อที่กัปตันชาวดัทช์ตั้งเนื่องจากแล่นเรือมาขึ้นฝั่งฉลองวันอีสเตอร์พอดีในปี 1722 หรือที่ชาวเกาะเรียกในภาษาถิ่นว่า “Rapa Nui” หรือ “Isla de Pascua” ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะที่ไกลปืนเที่ยงที่สุดในโลก หรือฝรั่งให้สมญาว่าเป็น The Remotest Island ราปานุยจึงเสมือนเกาะที่ตัดขาดจากโลกภายนอก แม้ในปัจจุบันก็ยังมีคนไม่มากที่เคยไปเยือนราปานุย เพราะทั้งไกลและแพงกว่าจะไปถึง ดังนั้นการบุกบั่นดั้นด้นไปถึงราปานุยจึงเป็นอีกหนึ่งฝันอันกลายเป็นจริงของฉัน
และที่พิเศษถูกจริตฉันเป็นที่สุดก็เพราะราปานุยเป็นเกาะที่มีความลับที่ยังไม่ถูกไขออก ด้วยมีหุ่นหินรูปคนครึ่งตัวขนาดมหึมาสูงเฉลี่ย 6 เมตรยืนเรียงรายริมฝั่งทะเลอย่างไม่มีที่ใดเหมือน เรียกว่า “โมไอ” (Moai) ไม่มีใครรู้ว่าใครทำขึ้น ทำไมมีมากมายถึงร่วม 1000 ตัวบนเกาะ
Èze เมืองมรดกโลกเล็กน่ารักชายฝั่งริเวียร่าฝรั่งเศส
พูดถึงชายฝั่งริเวียร่า หรือชายฝั่งสีคราม Cote d’Azur ของฝรั่งเศส ใครๆก็ต้องนึกถึงความโรแมนติกของเมืองตากอากาศหรูอย่างนีซ คานนส์ หรือแม้แต่มอนติคาร์โลของโมนาโค แต่สำหรับฉัน ความตื่นเต้นเหนือฟ้าอยู่ที่การสำรวจเมืองเล็กเสน่ห์แรงที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ริมชายหาดหรือปูพรมแดงเสมอไป อย่างเช่นเมือง Èze แอซ เมืองเก่าจากยุคกลางที่ยูเนสโก้บันทึกให้เป็นมรดกโลกนี้
India Makes Me Nuts ถั่วบ้าจะฆ่าฉันที่อินเดีย
มันเริ่มขึ้นที่ “ถั่ว” แต่จบลงที่ฉันเกือบบ้า(แบบยังพอขำได้อยู่) เรื่องของเรื่องคือว่า จู่ๆฉันก็เกิดอาการแพ้ถั่วขึ้นมาเมื่ออายุสามสิบกว่า แล้วความรุนแรงนี่คือจากศูนย์ คือกินถั่วได้ไม่เป็นอะไร อยู่ดีๆพอจะแพ้ขึ้นมาก็เป็นระดับเกือบตายเลยในครั้งเดียว หลังจากที่รู้ตัวว่าแพ้ถั่วไม่นานฉันก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ที่ต้องเดินทางไปอินเดียบ่อย รู้ๆกันอยู่ว่าอาหารแขกใส่ถั่วเยอะขนาดไหน แต่ที่น่ากลัวกว่าคือแขกไม่รู้จักไม่เคยได้ยินโรคแพ้ถั่ว ไม่เข้าใจว่ามันเป็นการแพ้อาหารที่อันตรายรุนแรงที่สุดในบรรดาแพ้อาหารทั้งปวง
India Makes me Cry (Part III) น้ำตาหลั่ง…ที่อินเดีย (ภาค 3)
สมัยเวลาไปทำงานอินเดียอย่างอุตลุด การจัดการเรื่องต่างๆสำหรับการเดินทาง การประชุม และนัดหมาย ต้องเตรียมล่วงหน้าไว้อย่างดีเลิศเป๊ะๆๆเพราะจะพลาดและเสียเวลาไม่ได้เลย ครั้งหนึ่งฉันต้องวิ่งรอกประชุมหลายที่อย่างแฮ่กมากจากมุมไบต้องจับเครื่องไปประชุมต่ออีกหนึ่งวันที่เดลี เครื่องออกเช้าแปดโมงต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า เครื่องจะลงเก้าโมงต้องวิ่งๆๆๆๆไปเข้าห้องประชุมให้ทันสิบโมง เวลาที่มีเฉียดฉิวมาก เครื่องลงประตูเปิดปุ๊บฉันจึงโกยแน่บวิ่งๆๆๆแหวกบรรดาแขกออกมา ถึงด้านนอกเอ๊ะทำไมไม่มีคนขับรถมายืนถือป้ายชื่อรอรับ
India Makes me Cry (Part II) น้ำตาหลั่ง…ที่อินเดีย (ภาค 2)
พอปี 2548 ชะตาชีวิตที่จะต้องหลั่งน้ำตาอีกและเกี่ยวข้องกับอินเดียอย่างเข้มข้นก็เริ่มขึ้น ฉันได้รับมอบหมายงานให้เป็นผู้อำนวยการดูแลภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่ว่านายอินเดียและทีมพัฒนาสินค้านั่งประจำอยู่ที่เมืองมุมไบ ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเดินทางไปทำงานอินเดียเฉลี่ยแล้วทุกเดือน บางทีก็บ่อยกว่านั้น ฉันเริ่มคุ้นเคยกับอินเดีย ทั้งผู้คน สถานที่ อาหารวัฒนธรรม ทางหนีทีไล่ และกลยุทธการต่อรองจัดการแขก จนไปมาได้อย่างสบายๆเหมือนบ้านหลังที่สอง
India Makes me Cry (Part I) น้ำตาหลั่ง…ที่อินเดีย (ภาค 1)
ฉันก็เหมือนคนไทยทั่วไปที่โตขึ้นมากับความคิดที่ไม่ค่อยปลื้มนักกับอินเดีย พูดถึงอินเดียก็มีแต่คนบ่นว่าสกปรก แขกพูดเร็วฟังไม่รู้เรื่อง ตัวเหม็น บ้านเมืองเหม็น อาหารเหม็นเครื่องเทศกินไม่ได้ ไม่อยากไป ไม่ไปเด็ดขาด หลายปีผ่านไปได้คำสั่งจากนายว่าให้ไปเมืองมุมไบที่อินเดียอีกเป็นครั้งที่สอง และครั้งนี้แหละที่อินเดียทำให้ฉันหลั่งน้ำตาเป็นครั้งแรก